สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

สาส์น “ฮัจญ์” ปี 1434

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ส่งสาส์นเนื่องในโอกาสการชุมนุมอันยิ่งใหญ่ของพิธีฮัจญ์


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม  ได้ส่งสาส์นเนื่องในโอกาสการชุมนุมอันยิ่งใหญ่ของพิธีฮัจญ์ โดยถือว่า การเวียนมาถึงของเทศกาลฮัจญ์นั้น ต้องถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิสลาม และเป็นโอกาสอันน่ามหัศจรรย์ยิ่งสำหรับการแก้ไขเยียวยาปัญหาและความทุกข์ยากต่างๆ อันมากมายในโลกอิสลาม   พร้อมกันนั้น  ฯพณฯ ได้ชี้ถึงความพยายามอย่างเต็มที่สุดกำลังความสามารถของแนวรบมหาอำนาจโลกและเครือข่ายผู้ก่ออาชญากรรมของยิวไซออนิสต์ในการปราบปราม และทำให้การตื่นตัวอิสลามต้องกลายเป็นหมัน และการเผลอเลอต่อประเด็นหลัก อาทิเช่น การปลดปล่อยปาเลสไตน์และประชาชาติมุสลิม   พร้อมกับกล่าวย้ำ ถึง “: เอกภาพ ความสามัคคีและความเป็นพี่น้องกันของชาวมุสลิม ภายใต้ร่มธงแห่งเตาฮีด”  “การรู้จักศัตรูและการเผชิญหน้ากับแผนการและวิธีการต่างๆ ของศัตรู ”  คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่และเด่นชัดที่สุดของฮัจญ์  และเป็นแนวทางในการเยียวยาแก้ไขขั้นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับสภาพการณ์ที่น่าวิตกเช่นนี้ของโลกอิสลามในวันนี้ 

 

เนื้อความของสาส์นฉบับสมบูรณ์ของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม มีดังต่อไปนี้ 


بسم الله الرحمن الرحيم
والحمدلله رب العالمين و الصلوة والسلام علي 

سيدالانبياء و المرسلين و علي آله الطيبين و صحبه المنتجبين

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่งเสมอ 

วโรกาสแห่งการเวียนมาถึงของเทศกาลฮัจญ์นั้น ต้องถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิสลาม    เป็นโอกาสที่ดีงามยิ่งที่วันอันทรงคุณค่าเหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับบรรดามุสลิมทั่วโลกในทุกๆ ปี มันคือเภสัชเคมีอันน่ามหัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งหากรู้ถึงคุณค่าของมันและถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้วไซร้  ปัญหาและความทุกข์ยากต่างๆ อันมากมายในโลกอิสลามนั้น ก็จะได้รับการเยียวยาแก้ไขอย่างแน่นอน 


ฮัจญ์  เป็นตาน้ำอันพรั่งพรูของพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้แสวงบุญแต่ละท่านนั้นล้วนแล้วเป็นผู้โชคดี  บัดนี้พวกท่านได้บรรลุถึงโอกาสอันสูงส่งนี้แล้ว ซึ่งการปฏิบัติอะมั้ลเหล่านี้ในพิธีกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความผ่องแผ้วและจิตวิญญาณนี้ ท่านทั้งหลายจะได้ชำระล้างหัวใจและจิตวิญญาณครั้งใหญ่ และจะได้สะสมเสบียงสำหรับอายุขัยทั้งหมดของตนเอง จากแหล่งแห่งความเมตตา เกียรติศักดิ์ศรีและพลังอำนาจนี้     ความนอบน้อมและการยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ความมุ่งมั่นในการรักษาหน้าที่ต่างๆ ที่ถูกมอบหมายให้เป็นภาระหน้าที่เหนือชาวมุสลิม ความมีชีวิตชีวา การเคลื่อนไหวและการดำเนินการเกี่ยวกับงานด้านศาสนาและทางโลก การแสดงความเมตตาและการให้อภัยในการปฏิสัมพันธ์กับบรรดาพี่น้อง ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเองในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยากลำบาก    การมีความหวังต่อการช่วยเหลือและการให้การอนุเคราะห์ของพระผู้เป็นเจ้าในทุกที่และในทุกสิ่ง 


กล่าวโดยสรุปแล้ว การสร้างและการพัฒนามนุษย์ในรูปแบบของความเป็นมุสลิม ในสนามแห่งการฝึกฝนและการขัดเกลาแห่งพระผู้เป็นเจ้านี้ ท่านทั้งหลายสามารถทำให้เกิดขึ้นกับตนเองและเสริมแต่งตนเองด้วยเครื่องประดับที่งดงามเหล่านี้ได้ และนำเสบียงเหล่านี้กลับไปเป็นของฝากสำหรับประเทศชาติและประชาชาติของตัวเอง และท้ายที่สุด สำหรับประชาชาติอิสลาม


ในวันนี้ประชาชาติมุสลิม  ต้องการยังบุคคลที่มีการเสริมสร้างทางความคิดและการกระทำควบคู่ไปกับความศรัทธา ความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจ การยืนหยัดเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูผู้อาฆาตพยาบาท เคียงคู่ไปกับการชำระขัดเกลาจิตใจและจิตวิญญาณมากกว่าทุกสิ่งอื่นใด และนี่คือทางรอดทางเดียวของสังคมที่ยิ่งใหญ่ของมวลมุสลิมจากปัญหาความทุกข์ยากทั้งหลาย ที่มันได้จมดิ่งลงในสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยมือของศัตรูอย่างเปิดเผย หรือด้วยความอ่อนแอของเจตนารมณ์ ความศรัทธาและวิสัยทัศน์ที่มีมานับยาวนาน


ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าปัจจุบันนี้ เป็นยุคของการตื่นตัวและการค้นพบอัตลักษณ์ของชาวมุสลิม ข้อเท็จจริงนี้ยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากความท้าทายต่างๆ ที่ประเทศมุสลิมทั้งหลายกำลังเผชิญหน้ากับมัน ในสถานการณ์เช่นนี้เองที่เจตนารมณ์และความตั้งใจจริงที่วางอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธา ความไว้วางใจต่อพระผู้เป็นเจ้า ความมีวิสัยทัศน์และการบริหารจัดการที่ดี จะสามารถนำพาประชาชาติมุสลิมไปสู่ชัยชนะและความภาคภูมิใจในความท้าทายเหล่านี้ และจะนำเกียรติและศักดิ์ศรีมาสู่ชะตากรรมของพวกเขา 


แนวรบของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่อาจอดทนต่อการตื่นตัวและเกียรติศักดิ์ศรีของมุสลิมได้นั้น พวกเขาเข้าสู่สนามด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ และได้ใช้เครื่องมือต่างๆทั้งทางด้านความมั่นคง ด้านจิตวิทยา การทหาร เศรษฐกิจและการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อการปราบปราม การยอมจำนนโดยดุษณีของมุสลิม และการทำให้พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง    

 การพิจารณาถึงสถานการณ์ในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันตก จากปากีสถาน อัฟกานิสถาน ไปจนถึงซีเรีย อิรัก ปาเลสไตน์และประเทศทั้งหลายในอ่าวเปอร์เซีย และเช่นเดียวกันนี้บรรดาประเทศในแอฟริกาเหนือ อย่างเช่น ลิเบีย อียิปต์ ตูนิเซีย ไปจนถึงซูดานและประเทศอื่นๆ อีกบางประเทศ จะทำให้เห็นข้อเท็จจริงต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

สงครามกลางเมือง ความอคติทางศาสนาและทางด้านนิกายอย่างหูหนวกตาบอด ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การแพร่ระบาดของลัทธิก่อการร้ายที่โหดร้ายป่าเถื่อน การเกิดของกลุ่มและกระแสแนวคิดต่างๆ ที่สุดโต่ง ที่พวกเขาได้ผ่าอกและได้กัดกินหัวใจของมนุษย์ ด้วยวิธีการเดียวกับหมู่ชนที่ป่าเถื่อนในประวัติศาสตร์ บรรดาผู้ติดอาวุธที่เข่นฆ่าสังหารเด็กและสตรี ตัดศีรษะของเหล่าบุรุษ และล่วงละเมิดพรหมจารีของเหล่าสตรี   และในหลายๆ กรณีที่พวกเขาได้ก่ออาชญากรรมที่น่าอับอายและน่าขยะแขยงนี้ภายใต้ชื่อและร่มธงของศาสนา ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เป็นผลผลิตของแผนการที่ชั่วร้ายและอหังการของซาตานมารร้าย บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของต่างชาติและสมุนรับใช้ของรัฐบาลในภูมิภาคที่ร่วมมือกับพวกเขา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในขอบข่ายต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ในประเทศทั้งหลาย ซึ่งทำให้ยุคสมัยของประชาชนของชาติทั้งหลายกลายเป็นสีดำและทำให้พวกเขาต้องประสบกับความขมขื่น 

แน่นอนยิ่งในสถานการณ์และสภาพการณ์เช่นนั้น ไม่อาจที่จะคาดหวังได้เลยว่า บรรดาประเทศมุสลิมจะทำการฟื้นฟูซ่อมแซมช่องว่างต่างๆ ทางด้านวัตถุและจิตวิญญาณของตนได้ และไม่อาจไปถึงความมั่นคงสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และความแข็งแกร่งทางด้านอำนาจระหว่างประเทศ ที่เป็นผลพวงของความดีงามต่างๆ ของการตื่นตัวและการได้มาซึ่งอัตลักษณ์ของตนได้

สถานการณ์ที่ทุกข์เข็ญเช่นนี้อาจทำให้การตื่นตัวของอิสลามกลายเป็นหมัน  ซึ่งจะทำลายสภาพความพร้อมต่างๆ ทางด้านจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้วในโลกอิสลามให้หมดไปได้  และจะนำพาประชาชาติมุสลิมไปสู่ความหดหู่  การถูกโดดเดี่ยวและความตกต่ำในช่วงเวลาที่ยาวนานอีกครั้งหนึ่ง และจะทำให้ปัญหาต่างๆที่สำคัญของพวกเขา อย่างเช่น การปลดปล่อยปาเลสไตน์ การปลดปล่อยประชาชาติมุสลิมจากการรุกรานของสหรัฐอเมริกาและลัทธิไซออนิสต์ต้องถูกหลงลืมไป 

การเยียวยาแก้ไขขั้นพื้นฐานที่สำคัญสามารถสรุปได้ในสองประโยคหลักอันนี้ ซึ่งทั้งสองถือเป็นบทเรียนที่เด่นชัดและชัดเจนที่สุดของพิธีฮัจญ์ ประโยคแรก : เอกภาพ ความสามัคคีและความเป็นพี่น้องกันของชาวมุสลิม ภายใต้ร่มธงแห่งเตาฮีด และประโยคที่สอง : การรู้จักศัตรูและการเผชิญหน้ากับแผนการและวิธีการต่างๆ ของศัตรู

การเสริมสร้างจิตวิญญาณของความเป็นพี่น้องและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของพิธีฮัจญ์ ณ ที่แห่งนี้แม้แต่การโต้เถียงและการพูดจาหยาบคายต่อผู้อื่นก็เป็นที่ต้องห้าม การสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมือนกัน การปฏิบัติอะมั้ลต่างๆ ที่เหมือนกัน และการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เหมือนกัน พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความเมตตา ณ ที่แห่งนี้ หมายถึงความเสมอภาคและภราดรภาพสำหรับทุกคนที่มีความเชื่อมั่นและมีหัวใจผูกพันต่อศูนย์กลางแห่งเตาฮีด  สิ่งนี้คือการปฏิเสธที่ชัดเจนของอิสลามที่มีต่อแนวคิด ความเชื่อและการเรียกร้องเชิญชวนที่กล่าวหาว่ามุสลิมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อมั่นต่อกะอ์บะฮ์และเตาฮีด ต้องออกจากวงจรของอิสลาม 


บรรดากลุ่มตักฟีรีซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของชาวไซออนิสต์ผู้หลอกลวง และผู้สนับสนุนชาวตะวันตกของพวกเขา ที่กำลังก่ออาชญากรรมต่างๆ ที่น่าสยองขวัญ พวกเขากำลังหลั่งเลือดของมุสลิมผู้บริสุทธิ์ บรรดาผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้เคร่งครัดศาสนาและสวมใส่อาภรณ์ของนักวิชาการศาสนา ที่กำลังโหมกระพือไฟแห่งความแตกแยกระหว่างชีอะฮ์และซุนนี และอื่นๆ ที่เหมือนกันนี้ พวกเขาจงรู้เถิดว่า ตัวของพิธีกรรมต่างๆ ของฮัจญ์ คือสิ่งที่จะทำให้คำกล่าวอ้างของพวกเขากลายเป็นโมฆะ   ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก! บรรดาผู้ที่กล่าวอ้างว่า พิธีบารออัต มินัลมุชริกีน (พิธีประกาศการไม่ยุ่งเกี่ยวและการเป็นปฏิปักษ์ต่อบรรดาผู้ตั้งภาคี) ซึ่งมีรากฐานที่มาที่ฝังลึกอยู่ในการปฏิบัติอะมั้ลของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ (ซ็อลฯ) นั้น กลายเป็นการวิภาษ (ญิด้าล) ที่ต้องห้าม แต่ตัวพวกเขากลับมีบทบาทที่สำคัญที่สุดในการสร้างความขัดแย้งนองเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง 


ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับบรรดานักวิชาการ อุละมาอ์อิสลามที่มีความห่วงใยต่อประชาชาติมุสลิม และขอประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า ทุกคำพูดและการกระทำที่จะเป็นสาเหตุของการจุดไฟแห่งความแตกแยกขึ้นระหว่างชาวมุสลิม หรือการดูหมิ่นสิ่งต่างๆ อันเป็นที่เคารพนับถือของมุสลิมแต่ละกลุ่ม หรือการกล่าวหามัซฮับ (นิกาย) หนึ่งของอิสลามว่าเป็นผู้ปฏิเสธ (ตักฟีร) คือการรับใช้ค่ายของผู้ปฏิเสธ ผู้ตั้งภาคี อีกทั้งเป็นการทรยศต่ออิสลาม และถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ตาม ศาสนบัญญัติ การรู้จักศัตรูและวิธีการต่างๆ ของศัตรู คือหลักการประการที่สอง


 ประเด็นแรก เราจะต้องไม่เผลอเลอและหลงลืมจากการมีอยู่ของศัตรูผู้อาฆาตแค้น การขว้างเสาหินซ้ำกันหลายครั้งในพิธีฮัจญ์ คือสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่จะต้องตระหนักในเรื่องนี้อยู่ตลอดไป 


ประเด็นที่สอง  การรู้จักศัตรูหลัก ซึ่งปัจจุบันก็คือแนวรบของมหาอำนาจแห่งโลกและอาชญากรในเครือข่ายลัทธิไซออนิสต์สากล ก็จะต้องไม่ผิดพลาด และประเด็นที่สาม จะต้องแยกแยะให้ได้เป็นอย่างดีถึงวิธีการต่างๆ ของศัตรูผู้มีทิฐิ ซึ่งได้แก่ การสร้างความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม การแพร่ขยายการทุจริตทางการเมืองและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม การข่มขู่และการติดสินบนบรรดาบุคคลชั้นนำ การกดดันทางเศรษฐกิจต่อชนชาติต่างๆ และการสร้างความคลางแคลงในความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับอิสลาม และจะต้องรับรู้ถึงเครือข่ายและตัวแทนของพวกเขาจากหนทางนี้บรรดารัฐบาลจอมอหังการและแนวหน้าของพวกเขาคืออเมริกา จะปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของตนเอง โดยอาศัยเครื่องมือทางด้านสื่อสารมวลชนที่ครบวงจรและทันสมัย และด้วยกับคำกล่าวอ้างในการเป็นผู้สนับสนุนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย พวกเขาจะใช้วิธีการที่เจ้าเล่ห์หลอกลวงความคิดของสาธารณชนของชาติต่างๆ ขณะที่พวกเขากล่าวอ้างเรื่องสิทธิของประชาชนในชาติทั้งหลายนั้น ประชาชนชาวมุสลิมกลับต้องสัมผัสกับเพลิงไฟแห่งความแตกแยกต่างๆ ด้วยร่างกายและหัวใจของเขาที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ วัน การมองไปยังประชาชนผู้ถูกกดขี่ของปาเลสไตน์ หลายทศวรรษแล้วที่พวกเขาได้รับบาดแผลจากอาชญากรรมต่างๆ ของระบอบไซออนิสต์และผู้สนับสนุนมัน ในแต่ละวันนั้นการมองไปยังประเทศอัฟกานิสถาน ปากีสถานและอิรัก ซึ่งลัทธิก่อการร้ายที่เป็นผลผลิตของนโยบายต่างๆ ของลัทธิจักรวรรดินิยมและตัวแทนในภูมิภาคของพวกเขา ได้ทำให้ชีวิตของประชาชนของประเทศเหล่านั้นต้องพบกับความขมขื่น หรือการมองไปยังซีเรียด้วยความผิดที่ให้การสนับสนุนขบวนการต่อต้านไซออนิสต์ ทำให้เกิดกระแสคลื่นแห่งความเกลียดชังจากผู้ครอบงำต่างชาติและบรรดาตัวแทนในภูมิภาคของพวกเขา และต้องประสบกับสงครามกลางเมืองที่นองเลือด หรือการมองไปยังบาห์เรนหรือเมียนมาร์ แต่ละประเทศชาวมุสลิมจะได้รับความทุกข์ยากและถูกละเลยในลักษณะหนึ่ง ในขณะที่ศัตรูของพวกเขาได้รับการสนับสนุน หรือมองไปยังชาติอื่นๆ ซึ่งถูกคุกคามด้วยการโจมตีทางทหาร หรือการถูกคว่ำบาตร หรือการทำลายทางด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่องโดยอเมริกาและบรรดาพันธมิตรของมัน (ทั้งหมดเหล่านี้) ทำให้ทุกคนได้รับรู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของบรรดาผู้นำระบอบครอบงำเหล่านี้ได้ 


บรรดาชนชั้นนำทางการเมือง ทางวัฒนธรรมและทางศาสนาในทั่วทุกมุมของโลกอิสลาม ที่จะต้องสำนึกอยู่เสมอว่าตัวเองมีทำหน้าที่ในการเปิดโปงข้อเท็จจริงเหล่านี้ นี่คือหน้าที่ทางศีลธรรมและทางศาสนาของพวกเราทุกคน แต่น่าเศร้าใจที่วันนี้ บรรดาประเทศในแอฟริกาเหนือต้องตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งภายในต่างๆ ที่ลุ่มลึก ก่อนอื่นใดทั้งหมดจะต้องให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้ กล่าวคือ การรู้จักศัตรู วิธีการและเล่ห์เหลี่ยมกลลวงต่างๆ ของศัตรู การดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องในความขัดแย้งระหว่างกลุ่มแนวคิดต่างๆ ภายในชาติ และการหลงลืมจากสงครามภายในของประเทศเหล่านี้ คืออันตรายที่ใหญ่หลวง ซึ่งความเสียหายของมันสำหรับประชาชาติอิสลามนั้นไม่อาจที่จะชดเชยได้ในช่วงเวลาที่รวดเร็วอย่างไรก็ตาม เราไม่คลางแคลงสงสัยเลยว่า ประชาชนที่ยืนหยัดขึ้นในภูมิภาค ซึ่งทำให้การตื่นตัวของอิสลามเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมานั้น ด้วยการอนุมัติของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เวลาแห่งยุคสมัยของบรรดาผู้ปกครองที่ชั่วร้าย ผู้เป็นทาสรับใช้ต่างชาติและเป็นเผด็จการได้ถอยหลังกลับมาอีก แต่การเผลอเลอจากแผนการของบรรดามหาอำนาจจอมอหังการในการสร้างวิกฤติความขัดแย้งและการแทรกแซงที่บ่อนทำลายนั้น จะทำให้งานของพวกเขากลายเป็นเรื่องยาก และยุคสมัยของความมีเกียรติศักดิ์ศรี ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองจะต้องถอยหลังไปอีกหลายปี เรามีความเชื่อมั่นจากส่วนลึกในความสามารถของประชาชนทั้งหลาย และพลังอำนาจที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณได้ทรงกำหนดไว้ในเจตนารมณ์ที่มั่นคง ความศรัทธาและความมีวิสัยทัศน์ของมวลมหาชน ซึ่งเราก็ได้เห็นสิ่งนี้ด้วยกับสายตาและได้เรียนรู้ด้วยตัวเองในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในช่วงเวลาที่ยาวนาน มากกว่าสามทศวรรษ ความพยายามของเราคือการเรียกร้องประชาชาติมุสลิมทั้งมวลสู่ประสบการณ์ของพี่น้องมุสลิมของพวกเขา ในประเทศที่มีความภาคภูมิใจและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนี้ 


ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่ง โปรดแก้ไขปรับปรุงสภาพของประชาชาติมุสลิม และโปรดทำลายแผนการของบรรดาศัตรู และข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อพระองค์ โปรดประทานฮัจญ์ที่ถูกยอมรับ ความมีสุขภาพที่สมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ และเสบียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณให้แก่ผู้แสวงบุญ ณ บัยตุลลอฮ์ทุกท่าน

والسلام عليكم و رحمة الله


ขอความสันติและความเมตตาจากอัลลอฮ์จงประสบแด่ท่านทั้งหลาย 

ซัยยิดอะลี คาเมเนอี 

วันที่ 5 ซุลฮิจญะฮ์ ฮ.ศ. 1434

700 /