สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานาธิบดีและคณะเจ้าหน้าที่รัฐฯเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

“ศัตรไม่สามารถทำอะไรที่ผิดพลาดได้”

ประธานาธิบดีและคณะเจ้าหน้าที่รัฐฯ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึงความจำเป็นในการรู้จักคุณค่าของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯในการมีโอกาสรับใช้ประชาชน และความจำเป็นในความร่วมมือและการร่วมแรงกันทั้งสามสภา เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม คือ สองปัญหาที่สำคัญของประเทศ โดยท่านผู้นำยังเน้นถึงการสนใจอย่างสมบูรณ์ของบรรดาเจ้าหน้าที่ในการผลิตในประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นกุญแจหลักในการแก้ไขปัญหาของประเทศ และท่านยังชี้ถึงประเด็นของการที่ประเทศนั้นไม่ต้องพึ่งพารายได้จากน้ำมัน  ความสนใจพิเศษในทางภาคส่วนต่างๆทางเศรษฐกิจ เช่น การเคหะ เกษตรกร และบริษัทความรู้พื้นฐาน ความจำเป็นในการเปลี่ยนมุมมองของผู้ผลิตในฐานะการต่อสู้ทางสงครามเศรษฐกิจ ความจำเป็นในการกำหนดทิศทางและเป้าหมายในความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจยังการดำรงความยุติธรรมและการขจัดรากฐานความยากจน  โดยท่านผู้นำยังเรียกร้องให้บรรดาเจ้าหน้าที่ กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ด้วยการต่อสู้อย่างจริงจังและชาญฉลาดกับการโจมตีทุกด้านของฝ่ายศัตรูยังพื้นฐานทางศาสนา การปฏิวัติ และศีลธรรม จริยธรรม

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกัน ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวโรกาสวันอีดเฆาะดีรคุมและวันคล้ายวันประสูติของท่านอิมามมูซา กาซิม (อ) และสัปดาห์แห่งรัฐบาล อีกทั้งการรำลึกและเทอดเกียรติต่อชะฮีดรอญาอี และชะฮีดบอฮุนัร โดยท่านกล่าวว่า “สัปดาห์แห่งรัฐบาลนั้นมีอัตลักษณ์ที่พิเศษด้วยกับการรำลึกในการรับใช้และความพยายามตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ในอีกนัยหนึ่ง สามารถที่จะทำให้เกิดความอบอุ่น และในอีกด้านหนึ่ง ขณะที่ความพยายามเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยกับ 2 เงื่อนไขที่สำคัญ ก็คือ การขับเคลื่อนแบบญิฮาดี และการมีเจตนามุ่งมั่นเพื่อพระเจ้า ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของเกียรติยศที่มากมายในสังคม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า หนึ่งในบะรอกัต (เกียรติ) ของสัปดาห์แห่งรัฐบาล ก็คือ การประเมินผลงานของเจ้าหน้าที่รัฐฯในช่วง 1ปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่จะต้องรู้จักคุณค่าในช่วงที่รับผิดชอบหน้าที่ว่าเป็นความโปรดปรานจากพระเจ้าเพื่อรับใช้ประชาชน และจากแนวทางนี้ จะเป็นเสบียงให้กับพวกเขาในวันปรโลก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึง 6 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล โดยกล่าวว่า “ยังคงเหลืออีก 2 ปี ถือว่าระยะที่ไม่น้อยนัก ซึ่งจะต้องหลีกเลี่ยงจากสาระวนกับบางผลกระทบ โดยจะต้องมีการจัดอันดับความสำคัญในอันดับต้นของปัญหาที่สำคัญของประเทศ ในแต่ละปัญหา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในผลกระทบของรัฐบาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ การหมกมุ่นกับเรื่องปลีกย่อย โดยท่านกล่าวว่า “รัฐบาลจะต้องออกห่างจากปัญหาปลีกย่อยในช่วง 2 ปีที่เหลืออยู่ ซึ่งช่างน่าเสียใจยิ่งนัก ด้วยกับการเกิดขึ้นทางสื่อสังคมออนไลน์ และจะต้องยึดปัญหาหลักเป็นอันดับความสำคัญอันดับต้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สองความสำคัญอันดับต้นของประเทศ คือ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม และในการปราศรัยของท่านยังได้กล่าวถึงประเด็นเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า ผลของปัญหาที่มีอยู่ของระดับชนชั้นต่ำและปานกลางในการผลิตในประเทศ คือ กุญแจหลักในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “โดยที่จริง การดำเนินการของกุญแจนี้ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นไม่ง่ายนัก แต่ก็จะต้องมีการดำเนินการ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สาเหตุที่ตั้งชื่อปีนี้ว่า เป็นปีแห่งการส่งเสริมทางการผลิต เพราะว่ามีการคาดการณ์ว่า การบ่อนทำลายของต่างชาติจะเพิ่มมากขึ้น โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “วิธีการที่ดีที่สุดในการเผชิญกับศัตรูเหล่านี้  คือ การส่งเสริมการผลิต และด้วยกับความโปรดปรานของพระเจ้า ได้มีการขับเคลื่อนในภาคส่วนต่างๆมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการมีศักยภาพในประเทศ ฉะนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการในการผลิตในประเทศ เป็นงานหลักของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงความสำคัญต่างๆทางด้านเศรษฐกิจ ด้วย 3 ประเด็นที่ว่า การตัดขาดการพึ่งพาการส่งออกน้ำมันดิบ การให้ความสนใจผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นสามารถที่ช่วยขับเคลื่อนเครื่องยนตร์ทางเศรษฐกิจไปในทิศทางด้านต่างๆ ความจำเป็นในการเปลี่ยนมุมมองของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รายได้ที่ง่ายจากการส่งออกน้ำมันดิบ คือ บททดสอบที่ใหญ่ และยังได้กล่าวเสริมว่า “ปัญหาเหล่านี้ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อความก้าวหน้าของประเทศทั้งหมด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงประเทศที่ปราศจากการผลิตน้ำมัน ยังได้รับความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่งนัก โดยกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีการคว่ำบาตร พวกเขายังสามารถควบคุมตลาดน้ำมัน เช่น การกำหนดราคาและอัตราการซื้อขายโดยให้กับผู้บริโภครายใหญ่ นั่นก็คือ ประเทศชาติตะวันตก และพวกเขายังสามารถบรรลุผลประโยชน์ของตนและการกำหนดทิศทางการเมืองของเหล่าผู้ผลิตที่เกิดขึ้นภายใต้กระแสกดดันอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเปลี่ยนน้ำมันดิบเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆคือ แนวทางหลักที่ออกห่างจากการพึ่งพาการส่งออกน้ำมันดิบ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “และเช่นเดียวกันมีการกล่าวถึงประเด็นนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากนักคิดและนักอุตสาหกรรม นอกเหนือจาก ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน เช่น ก๊าซ น้ำมันเบนซิน และเราจะได้รับสารประกอบและการผลิตอื่นๆที่มีคุณค่ามากกว่าน้ำมันดิบหลายเท่าด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสนใจพิเศษของประธานาธิบดี และกระทรวงน้ำมัน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆของรัฐฯในการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน คือ ความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ปัญหาค่าใช้จ่ายในการผลิตของโรงกลั่นน้ำมัน ก็สามารถแก้ไขด้วยกับสภาพคล่องตัวทางการเงินของประเทศและการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงประเด็นการส่งเสริมการผลิต โดยถือว่า บางส่วนของเศรษฐกิจนั้นมีอำนาจในการขับเคลื่อนและความกระตืนรือร้นในส่วนอื่นๆ โดยกล่าวว่า “จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อส่วนต่างๆที่มีแรงขับเคลื่อน เช่น การเคหะ เกษตรกร ยานพาหนะ เครื่องใช้ในครัวเรือน และเช่นกัน เศรษฐกิจความรู้พื้นฐาน เพราะว่าการดำเนินของส่วนใดก็ตามสามารถที่จะขับเคลื่อนในด้านต่างๆและจะมีการเปลี่ยนแปลงในการขับเคลื่อนทั่วไปของเศรษฐกิจในประเทศทั้งหมดด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์  คาเมเนอี ถือว่า ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ การเปลี่ยนมุมมองของหน่วยงานภาครัฐฯ เจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตเป็นสิ่งที่จำเป็น และการเปรียบเทียบของผู้ผลิตกับการต่อสู้ในช่วงหลายปีของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “บรรดาผู้ผลิต คือ นักต่อสู้ในสงครามทางเศรษฐกิจกับเหล่าศัตรู ซึ่งจะต้องมีมุมมองต่อพวกเขาด้วยสายตาเช่นนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดยังได้กล่าววิจารณ์อีกครั้งต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากหน่วยผลิต โดยกล่าวว่า “บางครั้งหน่วยผลิตไม่ใช่จะต้องมี 7 กระบวนการ แต่ก็จะต้องผ่านถึง 70 กระบวนการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังและแก้ไขปัญหากฏระเบียบและอุปสรรคในการผลิตอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงมุมองพิเศษของรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีมุมมองแบบกลางและเล็ก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มุมมองที่พิเศษนี้ คือ รากฐานหลักของเศรษฐกิจต้านทางที่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายเห็นชอบและสัญญาว่าจะดำเนินการ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการไปบ้างแล้ว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “หากว่าให้ความสำคัญในประเด็นต่างๆที่กล่าวถึง แน่นอนว่า การคว่ำบาตรก็จะกลายเป็นโอกาส และเช่นเดียวกัน เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา เกิดความยุ่งยากในการนำเข้าของบางสินค้า และเจ้าหน้าที่บางคนได้ติดต่อผ่านบริษัทความรู้พื้นฐาน และได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของเหล่าเยาวชน บริษัทความรู้พื้นฐาน หน่วยงานอาสาสมัครของมหาวิทยาลัย และหน่วยงานในการผลิตต่างๆ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่าน ถือว่า การส่งเสริมการผลิตนั้นต้องมี 4 องค์ประกอบหลัก คือ พลังงานมนุษย์ ทุน นวัตกรรม และการบริหารเศรษฐกิจ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พลังงานมนุษย์ของชาวอิหร่าน ไม่อาจที่จะเปรียบเทียบได้ โดยกล่าวว่า “ความเป็นจริงนี้ วันนี้นั้นเป็นที่ยอมรับของบรรดานักคิดในบางประเทศอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สภาพคล่องตัวทางการเงิน โดยอย่างน้อยถึง 1800 พันล้าน และการมีเทคโนโลยีที่ถูกยอมรับในส่วนต่างของสององค์ประกอบหลัก โดยกล่าวเสริมว่า “แต่ในภาคส่วนของการบริหารเศรษฐกิจ ด้วยกับความพยายามที่น่ายกย่อง ที่จะต้องมีการวางแบบแผนที่มากกว่าและมีการการปฏิบัติการเพื่อที่จะลดปัญหาในกระบวนการของการส่งเสริมในการผลิต”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเกิดขึ้นของการขับเคลื่อนในปีนี้เกี่ยวกับประเด็นการผลิตทางอุตสาหกรรม การเกษตร พลังงาน ปิโตรเคมี และเครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นการกระทำที่มีเกียรติยิ่ง โดยท่านยังได้เน้นถึงความจำเป็นในการสร้างความเข้มแข็งของการขับเคลื่อนนี้อย่างสมบูรณ์ โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “ความเป็นจริงนี้ แสดงถึงคำพูดของบางคนที่กล่าวว่าประเทศนี้พบกับทางตันนั้นเป็นคำพูดที่ผิดพลาดอย่างแท้จริง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ว่า ความเป็นจริงเหล่านี้จะต้องมีแรงจูงใจ ความหวังและความพยายามของผู้บริหารก็จะต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม อีกด้วย และท่านยังได้อธิบายถึงประเด็นที่สำคัญอย่างมากที่เกี่ยวกับเป้าหมายของการส่งเสริมการผลิตและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศ 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ในทัศนะอิสลาม ความมั่งคงของประเทศเพียงอย่างเดียวมิใช่สิ่งที่น่าพอใจ แต่การมีเป้าหมายในความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การดำรงความยุติธรรมทางสังคม การขจัดรากฐานความยากจน หากมิได้เป็นเช่นนี้ แน่นอนว่า เราก็จะเหมือนกับประเทศที่ก้าวหน้า เช่น สหรัฐอเมริกาที่ยังพบปัญหากับกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่ออีกในคำปราศรัยของท่าน โดยท่านได้ชี้ถึงวัฒนธรรมเป็นอีกหนึ่งในความสำคัญอันดับต้นของประเทศ โดยกล่าวว่า “ประเด็นวัฒนธรรมด้วยกับการโจมตีทุกด้านของฝ่ายต่างชาติที่เรานั้นได้สัมผัสมา และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวัฒนธรรมก็จะต้องให้ความสนใจในประเด็นนี้กันอย่างจริงจัง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “เหล่าศัตรูของรัฐอิสลาม ต่างพูดออกมาอย่างเปิดเผยว่า การที่จะมีชัยชนะเหนือสาธารณรัฐอิสลามและการปกครองระบอบอิสลามด้วยกับสงครามทางทหารและมาตรการคว่ำบาตรนั้นเป็นไปไม่ได้ ก็จะต้องมีการแทรกซึมทางวัฒนธรรมและส่งผลต่อวิสัยทัศน์และความรู้สึกของประชาชนเพื่อที่จะบรรลุยังเป้าหมายนี้ได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการดำเนินการที่ต่อต้านวัฒนธรรมและต่อต้านคุณค่าต่างๆ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จะต้องกำจัดอุปสรรคต่างๆที่เป็นเหตุให้มีการแทรกซึมทางวัฒนธรรม เช่น ผลผลิตทางวัฒนธรรม คือ ศิลปะ ภาพยนตร์ หนังสือ และการแสดงต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “เรานั้นไม่เชื่อว่าจะต้องมีการปิดกั้นบรรยากาศทางวัฒนธรรมของประเทศ แต่เราคัดค้านต่อความไม่แยแสทางวัฒนธรรรม โดยกล่าวว่า “เรานั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงกันข้ามกับเราคือ หน่วยงานของชาติมหาอำนาจ ที่จะใช้เครื่องอำนวยสะดวกทางวัฒนธรรมและศิลปะในการบ่อนทำลายสาธารณรัฐอิสลาม ซึ่งเราก็จะต้องมีการวางแบบแผนอย่างจริงจังในการเผชิญหน้าพวกเหล่านี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้อีกเช่นกันถึงการดำเนินการบางอย่างที่ต่อต้านวัฒนธรรมที่ซ่อนเร้นในสังคม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หน่วยงานทางด้านวัฒนธรรม เช่น กระทรวงการชี้นำ องค์กรการเผยแพร่อิสลาม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และองค์กรการสื่อสารมวลชน รวมทั้งหน่วยงานด้านข่าวกรองก็จะต้องให้ความสำคัญกับประเด็นนี้เป็นพิเศษ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในประเด็นที่สำคัญในด้านวัฒนธรรม คือ การมีบทบาทของงผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางของหน่วยงานต่างๆ โดยท่านได้เน้นว่า “หากว่าบรรดาผู้บริหารมีความระมัดระวัง โดยเฉพาะในประเด็นทางศาสนา วัฒนธรรม หลักศรัทธาของหน่วยงานต่างๆที่อยู่ใต้การดูแลของตน แน่นอนว่าก็จะเกิดผลอย่างแน่นอน"

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังแสดงความกังวลใจต่อปัญหาฮิญาบในสังคม  โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า การคลุมผ้าฮิญาบ เป็นหนึ่งในหลักการทางศาสนบัญญัติและเป็นกฏหมาย และ หน่วยงานภาครัฐฯและบรรดาผู้บริหาร ก็จะต้องมีความระมัดระวังในประเด็นนี้เพื่อที่จะได้มีการดำเนินการทางกฏหมายต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การระมัดระวังในมาตรฐานทางศาสนาและลักษณะของศาสนาจากบรรดาผู้บริหารนั้นมีผลต่อหน่วยงานต่างๆ โดยกล่าวว่า “จะต้องมีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนของประเทศ ซึ่งประเด็นนี้จะช่วยต่อความก้าวหน้าทางด้านวัตถุได้ด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านได้ชี้ถึงความจำเป็นในการมีปฏิสัมพันธ์ ความร่วมมือ และทิศทางเดียวกันของสภาทั้งสาม และท่านได้เน้นถึงคำพูดของประธานาธิบดีในกรณีความร่วมมือร่วมกันของสภาทั้งสาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในการเผชิญกับผู้ฝ่าฝืน ควรที่จะปฏิบัติอย่างยุติธรรมและมีความเฉลียวฉลาด และหน่วยงานในการตรวจสอบก็จะต้องมีการดำเนินการในสภาพที่จากการปฏิบัติของพวกเขานั้นไม่เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้น และจุดประสงค์ที่ไม่ดี”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เน้นว่า สภาของการบริหารประเทศ จะต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ๆหนักอึ้งในการบริหารประเทศ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ทั้งหมด จะต้องสนใจในความเป็นจริงนี้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐฯจะต้องมีความอดทนอย่างมากและอย่าหมดความอดทนต่อประเด็นเล็กน้อยหรือปัญหาใดก็ตาม”

ความไม่หวาดกลัวศัตรู คือ อีกข้อแนะนำของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ที่มีต่อบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ โดยกล่าวว่า “บางครั้ง ข้าพเจ้าได้ยินคำกล่าวที่แสดงถึงความหวาดกลัวต่อศัตรู ในขณะเดียวกัน จะต้องไม่หวาดกลัวต่อพวกเขา เพราะว่า ความเป็นปรปักษ์ของพวกเขานั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม พวกเขาจะกระทำทุกวิธีการที่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “สหรัฐ ยุโรป แม้แต่สหภาพโซเวียต ได้ดำเนินการต่อต้านสาธารณรัฐอิสลามในช่วง 40 ปีที่ผ่านในทุกรูปแบบที่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ทว่า พวกเขาได้รังแกและกลั่นแกล้ง ทั้งยังสร้างความยากลำบาก แต่พวกเขานั้นไม่สามารถเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนและความก้าวหน้าของรัฐอิสลามได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความก้าวหน้าต่างๆและการเพิ่มขึ้นของศักยภาพทั้งหลายของสาธารณรัฐอิสลามในด้านต่างๆ เช่น การเมือง การป้องกันประเทศ และเศรษฐกิจ โดยท่านได้เน้นว่า “ศัตรูไม่สามารถที่จะกระทำอะไรที่ผิดพลาดได้ และสี่สิบปีที่สองนั้นก็จะต้องดีกว่าช่วงสี่สิบปีแรกและจะเป็นความเลวร้ายสำหรับเหล่าศัตรูด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านในกรณีประเด็นแคชเมียร์ และแสดงถึงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมในภูมิภาค โดยกล่าวว่า “เรานั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลอินเดีย และหวังจากรัฐบาลอินเดียว่า จะมีนโยบายที่เป็นธรรมต่อประชาชนชาวแคชเมียร์และจะไม่มีการกล่าวหาว่ามีการรังแกต่อชาวมุสลิมในภูมิภาคนี้เป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สถานการณ์ในปัจจุบันของแคชเมียร์และข้อพิพาทระหว่างอินเดียกับปากีสถานเกิดจากผลของการดำเนินการที่เลวร้ายของพวกอังกฤษ ขณะที่ถอนตัวออกจากคาบมหาสมุทรอินเดีย โดยท่านกล่าวว่า “พวกอังกฤษได้ตั้งใจทำให้เกิดบาดแผลขึ้นในภูมิภาค จากการปะทะกันในแคชเมียร์อย่างต่อเนื่อง”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม พณฯท่านโรฮานี ประธานาธิบดี ได้กล่าวในสุนทรพจน์โดยชี้ว่า รัฐบาลได้มีการดำเนินการในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแผ่นดินไหวในจังหวัดเคอร์มานชาห์ในปี 96 และประสบภัยน้ำท่วมในปี 97 (ปฏิทินอิหร่าน) รวมทั้งการดำเนินการในความพอเพียงในบางส่วน เช่น การเพาะปลูกข้าวสาลี โดยเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เนื่องจากในมาตรการคว่ำบาตร เราได้มีสินค้าสำรองและการให้บริการสินค้าที่จำเป็นในเงื่อนไขที่ดีและมีความเชื่อมั่น”

ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ถึงความผันผวนของตลาดสินค้าและสกุลเงินในปีที่แล้ว โดยกล่าวว่า “ขณะที่สหรัฐพยายามปิดกั้นการส่งออกและการนำเข้าสินค้า แต่เราก็สามารถสร้างความสมดุลและความมั่นคงให้กับตลาดได้”

ท่านประธานาธิบดี ยังกล่าวเทอดเกียรติในความอดทนและการยืนหยัดของประชาชาติอิหร่านที่มีแรงกดดันต่างๆ โดยกล่าวว่า “วันนี้ สหรัฐฯนั้นถูกรู้จักในฐานะของผู้ที่ผิดสัญญาเพียงผู้เดียว และเราก็ได้กล่าวประณามสหรัฐด้วยกันสองครั้งในที่ประชุมสิทธิมนุษยชนโลก ในแง่กฏหมายถือว่าเป็นครั้งแรก”

ท่านประธานาธิบดี ถือว่า การคว่ำบาตรของสหรัฐเป็นการดำเนินในการก่อการร้าย โดยได้ชี้ว่า “วันนี้ สหรัฐฯได้ดำเนินการในการก่อการร้ายทางเศรษฐกิตต่อประชาชาติอิหร่าน เด็ก สตรี รวมทั้งบุรุษชาวอิหร่าน”

ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ถึงก้าวต่างๆที่ตรงกันข้ามกับอิหร่านในการลดพันธสัญญาของข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยกล่าวว่า “แนวทางที่ถูกต้องในการลดพันธสัญญาของข้อตกลง เราก็ได้เน้นย้ำไปแล้ว แต่ความอดทนของเรานั้นมีจำกัด และเราไม่สามารถยอมรับในการไม่รักษาพันธสัญญาของพวกเขาได้”

ท่านประธานาธิบดี ยังกล่าวอีกว่า หากว่าในการเจรจา 4+1 ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่า สถานการณ์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเขากล่าวเสริมว่า “หากว่าการเจรจาไม่สำเร็จ เราก็ยังยืนหยัดต่อแนวทางของเราต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

ท่านโรฮานี กล่าวเสริมว่า “มหาอำนาจของโลกต่างทราบดีว่า หากมีการคว่ำบาตรอย่างสมบูรณ์ต่อน้ำมันและการส่งออกน้ำมันของอิหร่านเหลือศูนย์แล้วละก็ น่านน้ำต่างๆระหว่างประเทศก็จะไม่สามารถที่มีความมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้ ด้วยเหตุนี้เอง ความกดดันในด้านเดียวต่ออิหร่านไม่มีประโยชน์กับพวกเขาและยังไม่เป็นหลักประกันความปลอดภัยของพวกเขาในภูมิภาคและในโลกด้วย”

ท่านประธานาธิบดี ในอีกส่วนของคำกล่าวได้ชี้ถึงการดำเนินการของธนาคารกลางและภาคเศรษฐกิจของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงให้กับตลาด โดยกล่าวว่า “ราคาสกุลเงินได้อยู่ในสภาพสมดุล และเราเชื่อมั่นต่อการให้บริการสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชน”

ท่านโรฮานี กล่าวเสริมว่า “ตามสถิติแสดงให้เห็นว่า จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อัตราภาวะเงินเฟ้อได้ลดลงจุดต่อจุดและประจำเดือน”

ท่านประธานาธิบดี ถือว่า นโยบายรัฐบาลคือ การค้าขายผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันแทนการขายน้ำมันดิบ โดยกล่าวเสริมว่า “ในการดำเนินการนี้ ได้มีการขยายโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น และยังมีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันขึ้นในหลายพื้นที่ด้วย”

ท่านประธานาธิบดี กล่าวว่า “ในก้าวแรก ที่เกี่ยวกับน้ำมัน เรานั้นสามารถมีก๊าซและน้ำมันดีเซลที่เพียงพอต่อการส่งออก และในวันนนี้เราก็มีน้ำมันเบนซินที่พอเพียงในการส่งออกด้วยเช่นกัน”

ท่านโรฮานี ยังกล่าวอีกว่า “จะต้องมีการลดการใช้น้ำมันเบนซินที่ผิดปกติ ด้วยความเหมาะสมโดยผ่านมติของสภาระดับสูงทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายนี้”

ท่านประธานาธิบดี ยังได้ชี้ถึงคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบประมาณ โดยกล่าวว่า “แม้ว่าในกรณีเรายังมีความล่าช้า แต่การคว่ำบาตรจะกลายเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของงบประมาณ”

ท่านโรฮานี ยังรายงานถึงอัตราการว่างงานได้ลดลงและเขายังได้ชี้ถึงการขยายบทบาทของบริษัทความรู้พื้นฐาน โดยกล่าวว่า “การท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้นถึง 43 เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับปีที่แล้วถือว่าสูงกว่า และได้มีการสร้างงานถึง 3 แสนคนในด้านนี้”

ท่านประธานาธิบดี ยังได้ชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านในการมีน้ำ ไฟฟ้า สุขภาพ อนามัย และการสื่อสาร โดยกล่าวว่า “ใน 20 หมู่บ้าน ได้มีการติดตั้งเครือข่ายสารสนเทศแห่งชาติ และ 10 หมู่บ้านมีการเชื่อมต่อท่อก๊าซ ขณะที่อีก 30 หมู่บ้านมีน้ำบริโภคในทุกสัปดาห์”

ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ถึงความสนใจพิเศษของรัฐบาลยังกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสและอยู่ในการดูแลของกรมสงเคราะห์ โดยกล่าวว่า “ความสำเร็จทั้งหมดของรัฐบาลในวันนี้นั้นเกิดมาจากความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า การชี้นำของท่านผู้นำสูงสุด การเข้าร่วม รวมทั้งการสนับสนุนของประชาชน หากว่าไม่มีทั้งสามประการเหล่านี้ เราก็ไม่มีความสามารถในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายที่ใหญ่โตของโลกในการบริหารประเทศและการตอบสนองความต้องการของประชาชนได้หรอก”

ท่านประธานาธิบดี ยังได้ชี้ถึงความจำเป็นในความร่วมมือกันทั้งสามสภา โดยเน้นว่า “ทุกหน่วยงานจะต้องยืนเคียงข้างกันและช่วยเหลือกันและกัน โดยก้าวผ่านการคว่ำบาตรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างเร็วที่สุด อีกทั้งยังจะทำให้พวกสหรัฐต่อยอมจำนนอีกด้วย”

 

 

 

 

700 /