สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพเข้าร่วมพิธีสำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยทหารอิมามฮุเซน

ด้วยการยึดมั่นต่ออิมามฮุเซนซัยยิดุช ชูฮาดาเราจะไม่อ่อนข้อ

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพ อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เข้าร่วมในพิธีการสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยทหารอิมามฮุเซน (อ) 

ในช่วงก่อนพิธีการ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ปรากฏตัวในสถานที่ฝังศพร่างบรรดาชะฮีดนิรนามพร้อมทั้งอ่านซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์ และร่วมรำลึก อีกทั้งยังเทอดเกียรติในความทรงจำของบรรดาชะฮีดในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

หลังจากนั้น ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพก็ได้เยี่ยมชมในพิธีการสวนสนามของหน่วยทหารทั้งหลาย 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบกับบรรดาทหารผ่านศึกและพูดคุยกับครอบครัวของบรรดาชะฮีดอย่างเป็นกันเองอีกด้วยเช่นกัน

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การจัดพิธีการนี้ในมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสำคัญและมีเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงความจำเป็นต่อความใส่ใจของบรรดาเจ้าหน้าที่ในการยกระดับของมหาวิทยาลัยแห่งนี้  โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เรานั้นมีความภาคภูมิใจต่อความสำเร็จต่างๆของมหาวิทยาลัยนี้ และเราจะไม่มีวันหยุดนิ่ง อีกทั้งเรายังถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินการต่อไปในทุกระดับและในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การให้ความสนใจในพลังดึงดูดของรัฐ การเข้าถึงอย่างลึกซึ้งในแบบแผนของระบบการศึกษา ความสนใจยังประเด็นที่พิเศษ และวิชาการที่ปรากฏขึ้นใหม่ การอบรมสั่งสอนอย่างสมบูรณ์แบบ การบริหารจัดการอย่างเชี่ยวชาญ การรักษากฏ ในขณะเดียวกัน การมีความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาผู้บริหารและโครงสร้างมหาวิทยาลัย นั้นคือ ประเด็นต่างๆที่บรรดาเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (ซิพอฮ์)จะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเพื่อที่จะทำให้มหาลัยแห่งนี้มีบทบาทอย่างดี

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพ ในประเด็นที่สองของการกล่าวสุนทรพจน์ของท่าน โดยท่านได้ชี้ถึงเกียรติยศของซิพอฮ์ทั้งในประเทศและนอกประเทศ พร้อมทั้งกล่าวเสริมว่า “พวกสหรัฐด้วยกับภาพลักษณ์ที่เป็นปฏิปักษ์และความโกรธของตนที่มีต่อกองกำลังซิพอฮ์ จะทำให้กองกำลังนี้มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีเพิ่มขึ้น เพราะว่า ความเป็นปฏิปักษ์กับเหล่าศัตรูของพระเจ้า จะทำให้บรรดาบ่าว ผู้ศรัทธาของพระองค์นั้นมีเกียรติที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ยกหลักฐานจากโองการอัลกุรอานที่ว่า “และพวกท่าน จงเตรียมพร้อม (ในการต่อสู้กับฝ่ายผู้ปฏิเสธ) ในสิ่งที่พวกท่านนั้นมีขีดความสามารถ ที่ได้รับมาจากพลังอำนาจและการผูกม้าไว้ โดยพวกท่านจะทำให้ศัตรูของอัลลอฮ์ (พระเจ้า) และศัตรูนั้นเกิดความหวาดกลัว”โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “นี่คือ คำบัญชาแห่งพระเจ้าที่จะต้องยึดถือมาเป็นบทเรียนอย่างสม่ำเสมอและยังถือว่าเป็นความสำคัญอันดับแรกของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอีกด้วย”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพ ถือว่า เป้าหมายของโองการนี้ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใด ทั้งยังเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าศัตรูของพระเจ้าและบรรดาชาวมุสลิมทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความหวาดกลัวที่พระเจ้าทรงตรัสว่าให้เกิดขึ้นในหัวใจของเหล่าศัตรูนั้น จะต้องเป็นความหวาดกลัวในการยับยั้ง กล่าวคือ พวกเราจะต้องกระทำการที่เป็นเหตุสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นกับเหล่าศัตรู จากความหวาดกลัวต่อบรรดาบุรุษ เยาวชนที่มีศรัทธา และการเสียสละ รวมทั้งเต็มไปด้วยกับแรงจูงใจ ซึ่งถือว่านี่คือปัจจัยที่สำคัญมากที่ในการยับยั้ง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังอธิบายถึงประเด็นสำคัญและเป็นคำสั่งที่พิเศษของพระผู้เป็นเจ้าในการเตรียมพร้อมที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความหมายของโองการที่กล่าวว่า และพวกท่านจงเตรียมพร้อมในสิ่งที่พวกท่านนั้นมีขีดความสามารถ จากการมีพลังอำนาจ หมายถึง  พวกท่านจะต้องมีการเพิ่มการมีอำนาจของหน่วยงานด้วยการสร้างหน่วยงานที่เข้มแข็ง มั่นคงและครอบคลุม ตราบเท่าที่พวกท่านนั้นมีความสามารถ ทั้งในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านความรู้และความเชี่ยวชาญ และการมีอำนาจทางยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า การมีอำนาจในการปฏิบัติการณ์ การเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ และพวกท่านจะต้องหลีกเลี่ยงจากการเพิกเฉย แม้ว่าสักนาทีเดียวก็ตาม รวมทั้งการมีอำนาจในความศรัทธาของกองกำลังซิพอฮ์ในการอบรมสั่งสอนบรรดาเยาวชน ผู้ศรัทธา ผู้ตัดสินใจ บริสุทธิ์ และมีแรงจูงใจ มากขึ้นในทุกๆวัน”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพ ได้อธิบายถึงอีกส่วนหนึ่งของโองการที่เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า พวกท่านจะต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น ทั้งในการป้องกัน การปฏิบัติการณ์ และการรับรู้ข้อมูล แต่อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้จะต้องมีการผลิตและสร้างขี้นในประเทศ และมีความหลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ทั้งในภาคพื้นดิน น่านฟ้า อากาศ ทางทะเล เขตชายแดนและในประเทศ  แต่ในวันนี้ หรือแม้แต่ทางไซเบอร์สเปส ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือ เครื่องใช้ที่จำเป็นด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงประเด็นนี้อีกว่า “แน่นอนว่า ระบอบทรราชเผด็จการที่ชั่วร้ายนั้นมีคลังที่เต็มไปด้วยกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐ แต่ชาวอิหร่านกลับไม่มีสิทธิ์ที่จะเปิดและซ่อมแซมอาวุธเหล่านั้น ในความเป็นจริง ทรราชจอมเผด็จการนั้นได้เอาเงินของประชาชนไปสร้างโรงงานอาวุธให้กับพวกสหรัฐ ขณะที่คลังต่างๆนั้นก็เต็มไปด้วยกับอาวุธของพวกเขาและหากไม่ได้รับอนุญาตจากพวกเขา ชาวอิหร่านก็ไม่สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากอาวุธเหล่านั้นได้ หรือแม้แต่จะทำความเข้าใจและครอบครองก็ตาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ทรราชจอมเผด็จการนั้นมี สององค์ประกอบทางอำนาจ หนึ่ง คือ คลังอาวุธ และสอง  คือ ความภาคภูมิใจในการปฏิบัติตามคำสั่งของพวกสหรัฐและการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐในการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมในภูมิภาคและการจัดการกับทุกๆเสียงที่ต่อต้านพวกเขา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แต่ในวันนี้ สถานการณ์นั้นกลับมีความแตกต่างกันร้อยเปอร์เซ็นอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ประชาชาตินั้นมีเจตนามุ่งมั่น และมีความพยายามในการได้รับผลประโยชน์แห่งชาติ ทั้งการตัดสินใจและการดำเนินการ” 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นอีกครั้งถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมในทุกมิติของการมีพลังอำนาจทั้งภายในและภายนอก โดยท่านถือว่า การเดินขบวนวันอัรบะอีน คือ ตัวอย่างของการมีพลังอย่างแท้จริง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ การรวมตัวที่ยิ่งใหญ่ของหลายล้านคนในเส้นทางกัรบะลา หมายถึง การขับเคลื่อนไปยังความภาคภูมิใจอันสูงสุด การเสียสละ และการเป็นชะฮีด ได้แสดงถึงการมีพลังอำนาจของอิสลามและฝ่ายกลุ่มมุกอวิมัตอิสลาม (ต้านทาน)อีกครั้งหนึ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันอัรบะอีนที่ได้ปรากฏครั้งแรกทางประวัติศาสตร์อิสลามนั้นคือ สื่อหนึ่งที่ทรงพลังของอาชูรอ  โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในสี่สิบวันจากเหตุการณ์วีรกรรมแห่งอาชูรอ จนกระทั่งถึงการเดินทางกลับของบรรรดาอะฮ์ลุลบัยต์มายังแผ่นดินกัรบะลา การโห่ร้องของท่านหญิงซัยนับ และท่านอิมามซัจญาด ในเมืองชาม (ซีเรีย) และเมืองกูฟะฮ์ นั้นคือ สื่อหนึ่งที่แท้จริงของอาชูรอ และอาชูรอได้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยกับการปกครองแบบตรรกะของสัจธรรม ท่ามกลางการปกครองอันฉ้อฉลของราชวงศ์บะนีอุมัยยะฮ์และพวกอะบูซุฟยานดั่งที่ได้ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า คลื่นแห่งพายุในการขับเคลื่อนของบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ จากวันอาชูรอจนถึงวันอัรบะอีน เป็นปรากฏการณ์อันน่าประหลาดใจของยุคสมัยนั้น จนเป็นสาเหตุให้สถานการณ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลง และในที่สุด ระบอบซุฟยานีก็ได้ล่มสลายลง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ ในวันนี้ เหตุการณ์เหล่านี้ก็กำลังเกิดขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเดินขบวนที่ยิ่งใหญ่ของชาวมุสลิมที่มาจากประเทศต่างๆทั่วทั้งโลก และจากนิกายต่างๆของอิสลาม หรือแม้แต่ในศาสนาอื่น เป็นการโห่ร้องที่ชัดเจน สื่อที่ไม่เสมอเหมือนใครในโลกที่สลับซับซ้อนในการโฆษณาชวนเชื่อและโลกที่เต็มไปด้วยกับความวุ่นวายของมวลมนุษยชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สโลแกนอันเต็มไปด้วยความหมายของ คำว่า “อิมามฮุเซน คือ ศูนย์รวมของพวกเรา” นั้นเป็นความจริงอันบริสุทธิ์ เพราะว่าท่านอิมามฮุเซน คือ ผู้ที่ริเริ่มด้วยกับการรวมตัวครั้งนี้ที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใดและทั้งหมดทุกคนก็ได้ขับเคลื่อนไปสู่ตาน้ำแห่งจิตวิญญาณและความเป็นอิสรภาพ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงความกว้างขวางและความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในการใช้ความคิดและการมีมะอ์รีฟัตในการเดินขบวนวันอัรบะอีน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดานักปราชญ์และนักวิชาการจะต้องเพียรพยายามกระทำในประเด็นเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวในส่วนสุดท้ายในการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านเกี่ยวกับวิถีของสาธารณรัฐอิสลาม โดยกล่าวว่า “จากช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลาม เราได้ประสบความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ แต่ทว่าก็ยังมีข้อบกพร่องอีกมากมาย และปัญหาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย แต่ความสำเร็จและความก้าวหน้านั้นมีมากกว่า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอธิบายถึงทิศทางและวิถีของการขับเคลื่อนของสาธารณรัฐอิสลามในการดำเนินการบนเส้นทางปัจจุบัน โดยกล่าวเทศนาธรรมบทหนึ่งเกี่ยวกับปรัชญาของการลุกขึ้นในวันอาชูรอจากคำกล่าวของท่านอะบาอับดิลลาฮ์ อัลฮุเซน (อ) และท่านผู้นำยังกล่าวเสริมว่า “ท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (หัวหน้าบรรดาชะฮีด)ได้รายงานฮะดีษ (คำกล่าว)หนึ่งจากท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติแห่งอิสลาม ที่มีต่อประชาชนทุกคน โดยท่านศาสดากล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่เห็นผู้ปกครองที่ฉ้อฉล และเขาไม่มีคำพูดหรือการกระทำในการต่อต้านผู้ปกครองผู้นั้น แน่นอนว่า พระเจ้าจะทำให้เขาต้องมีชะตากรรมเฉกเช่นผู้ปกครองคนนั้นและเขาจะถูกส่งลงในนรกอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “ด้วยกับคำกล่าวของท่านอิมามฮุเซน (อ) แสดงให้เห็นว่าเหตุผลของการลุกขึ้นต่อสู้และการเคลื่อนไหวของท่านอิมาม ก็คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ในการเผชิญหน้ากับความฉ้อฉลและผู้ปกครองที่ฉ้อฉล ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามก็ถือว่านี่คือหน้าที่ๆจะต้องปฏิบัติในทุกๆสภาพการณ์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอีกว่า “วันนี้ ฝ่ายผู้ปฏิเสธ รัฐเถื่อนไซออนิสต์ และสหรัฐ ได้ดูดกินเลือดเนื้อของประชาชาติทั้งหลาย การก่อสงคราม และภัยพิบัติต่างๆได้กระทำกับปวงบ่าวของพระเจ้า และประชาชาติทั้งหลายด้วยความฉ้อฉล ขณะที่ประชาชาติอิหร่านด้วยกับปรัชญาของการขับเคลื่อนของซัยยิดุชชุฮะดา ในการเผชิญหน้ากับพวกเหล่านั้นซึ่งถือว่านี่เป็นหน้าที่ และการไม่ย่อท้อต่อสหรัฐและความกดดันต่างๆของเหล่าศัตรูบนพื้นฐานนี้ก็ตาม"

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ) ได้เผชิญหน้ากับสหรัฐมาประมาณ 50 ปีแล้ว หมายถึง ในช่วงทศวรรษที่สี่สิบก่อนการเนรเทศของท่านจากเมืองกุม อันเนื่องมาจากความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยกับการมีบะซีเราะฮ์(การรู้แจ้งเห็นจริง)ของท่านอิมาม โดยท่านนั้นทราบดีว่า ผู้ใดหรือประชาชาติใดก็ตามที่รู้จักหน้าที่ของตนเองในการเผชิญหน้ากับความฉ้อฉล แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอนและเราก็ได้ประจักษ์ในพันธสัญญานี้ของพระองค์มาแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นถึงบรรดาเยาวชนที่มีเกียรติของอิหร่านว่า “พวกท่านจะต้องปฏิบัติหน้าที่แห่งพระเจ้าของตนด้วยความศรัทธาและเจตนามุ่งมั่น และพวกเขาจงรู้ไว้เถิดว่า การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูของศาสนาและมวลมนุษยชาตินั้นจะได้รับการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า ดั่งที่เมื่อสี่สิบปีที่ผ่านก็ได้เป็นเช่นนั้น และด้วยความกรุณาธิคุณของพระองค์ในก้าวที่สองแห่งการปฏิวัตอิสลาม และก้าวต่อไป หลังจากนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เยาวชนทั้งหลายคือ ความหวังของประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แต่บรรดาผู้สูงอายุก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตน ดั่งที่ท่านอิมามโคมัยนีในขณะที่ท่านอายุมากก็ได้ดำเนินการเหมือนกับเยาวชนคนหนึ่ง แต่ในความจริงก็คือ เยาวชนทั้งหลาย คือ เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนของประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชนทั้งหลาย พวกเขาจะต้องรู้ว่าความคิดและมันสมองของพวกเขานั้นคือ เป้าหมายแรกๆของศัตรู ดังนั้นจะต้องยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเทคติกต่างๆของเหล่าศัตรูด้วยกับความศรัทธาและการมีพลังอำนาจ”

นายพล ซะลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นในพิธีการนี้ว่า กองกำลังซิพอฮ์ ได้เตรียมพร้อมในการแสดงบทบาทในก้าวที่สองแห่งการปฏิวัติอิสลามในประเด็นหลักทางด้านจิตวิญญาณและความเพียรพยายามทางทฤษฎีและทางการปฏิบัติ โดยเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การวิเคราะห์ในกระบวนการที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่า พื้นฐานความเปลี่ยนแปลงในอนาคตนั้นต้องอยู่บนแกนหลักทางความรู้ และด้วยเหตุนี้ บรรดาคณาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซน จึงพยายามที่จะชดเชยความล้าหลังทางความรู้ด้วยกับการขับเคลื่อนทางวิชาการและเทคโนโลยี”

นายพล ฟัฎลี อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซน ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับกิจกรรมและการดำเนินการต่างๆที่ผ่านมา รวมทั้งแบบแผนการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ 

ในพิธีการครั้งนี้ ผู้บัญชาการจำนวนหนึ่ง ผู้บริหาร คณาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซนได้รับรางวัลของตนจากท่านผู้บัญชาการสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพ และตัวแทนของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั้ง 2 คนได้รับการติดยศและอินธนูบนบ่าโดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

โครงการ “การปฏิวัติเพื่อการสร้างมนุษย์” และ “สัญญาแห่งการพิทักษ์รักษา” คือ สองรายการที่จัดขึ้นและแสดงในมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซน

และเช่นกัน ในพิธีการนี้ก็ยังมีการเดินสวนสนามของเหล่าหน่วยทหารต่อหน้าท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม และยังมีการปฏิบัติการซ้อมรบภาคสนามและการเชื่อมั่นตนเองอีกด้วย

 

 

 

700 /