สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

เทอดเกียรติอดีตทหารผ่านศึก 1 ล้านคนทั่วประเทศในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์

“การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้ประชาชาติอิหร่านมีเกียรติและมีความก้าวหน้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวปราศรัยในพิธีการเทอดเกียรติเหล่าอดีตทหารผ่านศึกในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และการยืนหยัดต้านทาน ผ่านการสื่อสารระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่และชัดเจนของประชาชาติอิหร่านในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวว่า “ความเป็นจริงนี้ อันเป็นผลมาจากการชี้นำและการบัญชาการอันน่ามหัศจรรย์ของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ล่วงลับ ในการเข้าร่วมของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ทั้งมีการดำเนินการและนวัตกรรมแห่งปัญญาชนของบรรดาทหารผู้ปกป้องอิสลามและการปฏิวัติอิสลามที่ได้สร้างเป็นวีรกรรมแห่งประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งเรานั้นจะต้องมีความระมัดระวังในการบิดเบือนความเป็นจริงเหล่านี้ที่เป็นอัตลักษณ์ของชาวอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งในการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ประมาณวันละ 150 ราย โดยท่านผู้นำได้เชิญชวนให้ประชาชนมีความระมัดระวังและการปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพ ถือว่า การเทอดเกียรติต่อบรรดาทหารผ่านศึก นักต่อสู้ในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นหน้าที่ของชาติที่ชัดเจนและเป็นคำสั่งเสียที่อิสลามได้เน้นย้ำไว้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สำหรับการทำความเข้าใจในความยิ่งใหญ่ของการกระทำของพวกเขา ผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย และบรรดาชะฮีด ผู้ที่ร่วมต่อสู้กับพวกเขา จะต้องทำความเข้าใจในความยิ่งใหญ่ของสนามรบแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุผลใดและประวัติศาสตร์ในส่วนนี้นั้นมีความสำคัญอย่างไร”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ถือว่า ซัดดาม ผู้ที่ทะเยอทะยาน ได้ตกเป็นเครื่องมือทางอำนาจของเหล่าชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ฝ่ายหลักที่ได้ทำสงครามกับประชาชาติอิหร่าน หมายถึง พวกสหรัฐซึ่งได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติอิสลาม พวกมหาอำนาจที่กังวลใจในการเกิดขึ้นของอัตลักษณ์ใหม่ของอิสลาม-อิหร่านในภูมิภาค พวกนาโต้และประเทศชาติยุโรปทั้งตะวันตกและตะวันออก โดยที่พวกเขานั้นได้ยุยงให้ซัดดามทำการโจมตีเพื่อที่จะโค่นล้มรัฐอิสลามและการปฏิวัติอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการเผยแผ่หลักฐานของข้อตกลงของสหรัฐกับซัดดาม ก่อนที่จะเริ่มทำสงคราม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในช่วงหลายปีแห่งสงคราม ระบอบซัดดามได้รับความช่วยเหลือทางทหาร ข้อมูลข่าวกรอง และการเงินจากพวกตะวันตกและตะวันออกโดยผ่านสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และเส้นทางอื่นๆอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า นอกเหนือจากการยุยงของเหล่าศัตรู สถานการณ์ภายในประเทศของอิหร่านก็มีผลต่อการโจมตีของซัดดาม ด้วยเช่นกัน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักของกองทัพ เนื่องจากการขาดแคลนเครื่องอำนวยความสะดวกและการบัญชาการในช่วงปีแรกของสงคราม การเกิดขึ้นมาใหม่ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และการขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร นี่เป็นความจริงที่ศัตรูนั้นทราบดี และด้วยประเด็นเหล่านี้จึงเป็นแรงกระตุ้นในช่วงแรกของสงคราม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี หลังจากที่ท่านได้อธิบายถึงเกิดขึ้นมาได้อย่างไรของช่วงแรกของสงคราม 8 ปี โดยท่านผู้นำยังได้กล่าวอธิบายถึงปัจจัยทั้งหลายและประเด็นต่างๆที่สำคัญในการป้องกันประเทศและการมีชัยชนะของประชาชาติอิหร่านในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การชี้นำและการบัญชาการของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ล่วงลับ เป็นความมหัศจรรย์อย่างมากมาย นับตั้งแต่การเริ่มต้น จนถึงการสิ้นสุดในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามโคมัยนีนั้นรู้จักถึงมติและปริมาณที่แท้จริงของสงครามและท่านยังได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า สงครามนี้ไม่ใช่การทำสงครามระหว่างประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน แต่เหล่าศัตรูของการปฏิวัติอิสลามและประชาชาติอิหร่านได้ตั้งแนวรบอยู่เบื้องหลังซัดดามในการเผชิญหน้ากับรัฐอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การนำประชาชาติให้เข้าสู่สนามในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเจาะจงของท่านอิมาม ผู้ทรงเกียรติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามนั้นมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังเช่น หลักการพื้นฐานของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านอิมามได้นำประชาชาติจากทุกสารทิศให้เข้าสู่ภาคสนาม เพราะว่า ท่านอิมามนั้นเข้าใจดีว่า การเข้าร่วมของกองกำลังทหารเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บุคลิกภาพที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด การมีอิทธิพลทางด้านจิตวิญญาณ  ความซื่อสัตย์ และความบริสุทธิ์ในการอธิบายความเป็นจริงและการมีวิสัยทัศน์ที่แหลมคม คือ ลักษณะอันพิเศษในการบัญชาการของท่านอิมามโคมัยนี ในช่วง 8 ปีของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์  โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามได้บัญชาการด้วยกับความแน่วแน่อย่างที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน และท่านได้ปฏิบัติการโดยเน้นถึงการทำลายการปิดล้อมเมืองอาบาดาน และการปลดปล่อยเมืองโครัมชาฮ์ และเมืองซูซันกัรด์ ซึ่งถือว่าทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่แน่วแน่ของท่านอิมาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีจุดยืนอันเฉลียวฉลาดโดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างของสงคราม คือ อีกลักษณะอันพิเศษหนึ่งของท่านอิมาม และท่านผู้นำได้ยกตัวอย่าง โดยกล่าวเสริมว่า “การให้กำลังใจต่อประชาชาติและการทำให้ศัตรูต้องพบกับความอับอายในเวลาที่จำเป็น การขจัดผลเสียจากการโอ้อวดในชัยชนะและการให้กำลังใจและการสอบถามสารทุกข์สุกดิบกับบรรดานักต่อสู้ในเวลาที่มีความต้องการ เช่น วิธีการปฏิบัติอย่างมีความเมตตาเปรียบดั่งเป็นบิดาและผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญในภาคสนามและเป็นผู้ชี้แนะในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังรู้สึกเสียใจต่อการเพิกเฉยในงานเขียนและประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวกับบทบาทของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ล่วงลับ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการกระทำและการดำเนินการอย่างจริงจังและกว้างขวาง”

หลังจากนั้น ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงการระมัดระวังในความพยายามของศัตรูในการบิดเบือนข้อเท็จจริงและความเป็นจริงของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านได้กล่าวถึงมติต่างๆที่ยิ่งใหญ่ของปรากฏการณ์นี้

การมีชัยชนะอันยิ่งใหญ่และความสว่างไสวของประชาชาติอิหร่านในสงคราม 8 ปี คือ ประเด็นแรกที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เป้าหมายของศัตรูในการก่อสงคราม คือ การทำให้รัฐอิสลามต้องพบกับความล้มสลาย การเข้ามาปกครองอีกครั้งในอิหร่านและการแบ่งแยกประเทศ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าครอบครองได้ แม้แต่เพียงคืบเดียวของแผ่นดินอิหร่าน และพวกเขาก็ไม่สามารถทำให้สาธารณรัฐอิสลามและประชาติอิหร่านได้ก้าวถอยหลังออกไปแม้เพียงก้าวเดียวก็ตาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความปราชัยอย่างต่อเนื่องของอิหร่านในสงครามต่างๆในช่วงหนึ่งหรือสองศตวรรษที่ผ่านมาในยุคสมัยกอญัร ​​ และในสมัยปาห์ลาวี และความอัปยศอดสูของเหล่าผู้นำอิหร่านในช่วงเวลานั้น โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในช่วงการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชาติอิหร่านสามารถยืนหยัดต่อสู้กับชาติมหาอำนาจของตะวันออกและตะวันตกและเหล่าประเทศกลุ่มพันธมิตรของพวกเขา และยังได้รับชัยชนะด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยเหตุนี้เอง การป้องกันที่ได้รับชัยชนะนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ประจำชาติของอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ในประเด็นต่อไป กล่าวคือ การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงช่วงสุดท้าย  คือ หนึ่งในการขับเคลื่อนแห่งปัญญาชนและมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บางคนนั้นต่างพยายามกล่าวหาว่าการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้ซึ่งการบริหารจัดการ จนกระทั่งมีการอ้างที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวถือเป็นความผิดโดยรวม  ในขณะที่การป้องกันนี้ได้เริ่มต้นในการดำเนินการ หมายถึง นับตั้งแต่กองทัพและกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามให้ความร่วมมือ และการเลือกหากลยุทธ์ที่เป็นนวัตกรรมและความกล้าหาญ พร้อมทั้งการดำเนินการที่ยอดเยี่ยมและน่าประหลาดใจในการปฏิบัติการ จนกระทั่งสงครามนั้นได้สิ้นสุดลงและการยอมรับในแถลงการณ์บนพื้นฐานทางสติปัญญาและการบริหารจัดการที่ดี”

การก่อตัวรูปแบบใหม่ในการเข้าร่วมกันในภาคประชาชนและการเปิดศักยภาพต่างๆในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ คือ ประเด็นที่สามที่ท่านอยาตุลลอฮ์คาเมเนอีได้ชี้ให้เห็น โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ รูปแบบนี้นั้นมีเอกลักษณ์และไม่เคยมีมาก่อนในโลก ในรูแแบบที่ทุกคน รวมถึงเยาวชนนักสู้ที่มีอายุเพียง 14 ปี จนถึงชายชราวัย 70 ปีหรือเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาและผู้หญิงที่มีเกียรติที่อยู่ข้างหลังหรือแพทย์ และศัลยแพทย์ เกษตรกร พนักงานแรงงาน นักศึกษา นักกวีและประชาชนในทุกสาขาอาชีพต่างก็พบว่าตนเองนั้นมีฐานภาพอยู่ในเครือข่ายอันยิ่งใหญ่ของผู้คนมากมายและมีส่วนร่วมในการรับใช้และการป้องกันประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในรูปแบบอันกว้างขวางนี้ของการเข้าร่วมกันในภาคประชาชน ได้ทำให้ศักยภาพที่สำคัญเกิดขึ้น ดั่งตัวอย่างเช่น จากเด็กเยาวชนในหมู่บ้านหนึ่งในเมืองเคอร์มาน กลายเป็นฮัจญ์ กอซิม สุไลมานีในวันนี้ หรือจากพลทหารเยาวชนคนหนึ่ง จนถึงผู้บัญชาการที่มีประสบการณ์และมีความสามารถ ดังเช่น ท่านชะฮีดซัยยาด ชีรอซี และชะฮีดบาบาอี หรือจากนักข่าวอาสาสมัครคนหนึ่งในการรายงานเหตุการณ์ต่างๆของสงคราม กลายเป็นนักอัจฉริยบุคคลทางด้านข้อมูล อย่างเช่น ท่านชะฮีดบากีรี”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ในวันนี้ หากว่าเรานั้นมีความพยายามอุตสาหะและมีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาต่างๆของประชาชน ก็สามารถที่จะใช้รูปแบบที่ไม่เสมอเหมือนนี้ได้ แน่นอนว่าการพูดถึงประเด็นสงครามกับประเด็นเศรษฐกิจนั้นมีความแตกต่างกัน แต่บรรดานักคิดสามารถที่จะนำเอารูปแบบนี้มาเป็นเครื่องมือให้กับผู้ที่มีอำนาจระดับชาติในการศึกษาและการวิจัย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การแสดงบทบาทของประชาชนและกลุ่มต่างๆที่อยู่ข้างหลังสมรภูมิ เป็นอีกส่วนหนึ่งของรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ของประชาชน  โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การช่วยเหลือทางการเงินของประชาชน การช่วยเหลือและการดูแลต่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ การร่วมพิธีแห่ศพของบรรดาชะฮีดในเมืองต่างๆ การสนับสนุนทางวัฒนธรรมและการเผยแพร่ และ การรับมือกับการปฏิบัติการทางจิตวิทยาของศัตรู การต้อนรับและการให้ที่อยู่อาศัยของเหยื่อสงครามในเมืองต่างๆและการต้านทานของประชาชนในเมืองต่างๆที่ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยขีปนาวุธของพวกซัดดาม นี่คือตัวอย่างของการแสดงบทบาทเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่าการเกิดขึ้นของคุณธรรมและการมีจิตวิญญาณที่สูงสุดและความสูงส่งทางด้านจิตวิญญาณในหมู่นักต่อสู้ เป็นอีกหนึ่งในบทที่ยอดเยี่ยมของหนังสือเล่มหนาในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์  โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ชีวประวัติที่เขียนขึ้นมาของนักต่อสู้บางคน คำสั่งเสียของบรรดาชะฮีด ความสูงส่งทางคุณธรรม ศีลธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ ความบริสุทธิ์ใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การรับใช้ผู้อื่น การเสียสละอุทิศตน การตื่นขึ้นในยามเช้าตรู่และการเคารพภักดีอย่างประจักษ์แจ้ง การไม่ใส่ใจต่อเครื่องประดับทางโลกและพฤติกรรมต่างๆและสภาพของเหล่ามารดาในการส่งเยาวชนไปยังสมรภูมิและการต้อนรับบุตรที่เป็นชะฮีดของพวกเขา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเกียรติของอิสลามและความศรัทธาอย่างลึกซึ้งในศาสนา ซึ่งได้สำแดงออกในช่วงเวลาของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์”

การลงทุนในการปกป้องอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับประเทศชาติ คือ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติได้ชี้ถึง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หนึ่งในการลงทุนที่มีคุณค่าเหล่านี้ คือ ความมั่นคง ซึ่งได้เกิดขึ้นจากเกียรติยศของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าการป้องกันของประชาชาติอิหร่านนั้นได้แสดงให้เห็นว่าต้นทุนของการรุกรานและการละเมิดต่อประเทศอยู่ในระดับที่สูงอย่างมากและผู้ที่รุกรานทุกคนจะต้องได้รับการโต้ตอบอย่างสาสม ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่รุกรานควรจะคิดก่อนที่จะดำเนินการใดๆ และจะไม่ถือว่านี่เป็นการประหยัด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีจิตวิญญาณแห่งความเชื่อมั่นในตนเองและการขับเคลื่อนไปยังการมีนวัตกรรมใหม่ทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ คือ หนึ่งในการลงทุนในช่วงเวลาของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เมืองต่างๆของอิหร่านได้ตกเป็นเป้าหมายของขีปนาวุธของศัตรูและไม่มีประเทศใดให้ขีปนาวุธและอาวุธยุทโธปกรณ์กับพวกเรา ขณะที่ชะฮีดเตห์รอนี มุก็อดดัมและเหล่ามิตรของเขาได้ร่วมกันก่อตั้งอุตสาหกรรมทางด้านขีปนาวุธ ขณะที่ขีดความสามารถของขีปนาวุธในปัจจุบันนั้นเป็นผลมาจากการมีจิตวิญญาณแห่งความเชื่อมั่นและการขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์ในเวลานั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความกล้าหาญที่จะกระทำการงานที่โดยผิวเผินนั้นเป็นไปไม่ได้และการส่งเสริมในการลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์ในประเทศ คือ หนึ่งในการลงทุนของยุคสมัยในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า  “หนึ่งในตัวอย่างของการลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์ในช่วงเวลาการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ คือ ชะฮีดสุไลมานี ในเวทีทางภูมิภาค ทางการทูต การดำเนินการที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งและจนถึงขณะนี้ ประชาชาติอิหร่านก็ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการปฏิบัติงานของชะฮีดผู้นี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า  การทำความรู้จักของประชาชาติอิหร่านต่อแก่นแท้และความเป็นจริงของอารยธรรมตะวันตก คือ อีกประเด็นหนึ่งในช่วง 8 ปี ของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของอิหร่าน ความเป็นปฏิปักษ์และความชั่วร้ายของรัฐบาลตะวันตกที่มีต่อสิทธิของประชาชาติอิหร่านได้เป็นที่ประจักษ์หลายครั้งด้วยกัน แต่รัฐบาลเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนอย่างสมบูรณ์กับระบอบการปกครองที่ชั่วร้าย ไร้มนุษยธรรม และจอมเผด็จการของซัดดาม โดยอ้างสิทธิมนุษยชน ความเป็นมนุษยธรรม ขณะที่ได้เหยียบย่ำและเปิดเผยฐานแท้ของตนออกมา ซึ่งการรู้จักที่ลึกซึ้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องมีบทบาทในการตัดสินทั้งหมดของเรา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเกิดขึ้นของขีดความสามารถและการใช้ศักยภาพของประชาชาติอิหร่านให้กับโลก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ช่วงเวลาของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจุดสูงสุดในการโจมตีทางสื่อของเหล่าศัตรูของอิหร่าน และได้กลายเป็นสื่อที่เข้าถึงและมีเสียงดัง โดยแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ เอกภาพ ความพยายามอุตสาหะ และการยืนหยัดต้านทานของประชาชาติอิหร่าน ซึ่งได้สร้างคุณค่าและศักดิ์ศรีให้กับโลกเพื่อประชาชาตินี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสัญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ยอดเยี่ยมต่อหน้าประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สงครามเป็นปรากฏการณ์ที่น่าหวาดกลัวและมีความรุนแรง แต่ถึงแม้จะเกิดปัญหาและความสูญเสียมากก็ตาม การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ทำให้ประชาชาติอิหร่านมีเกียรติ มีข่าวดี มีความก้าวหน้าและนำมาซึ่งความสดใสต่างๆอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า วรรณกรรมของการญิฮาดในอัลกุรอานนั้นเป็นการแจ้งข่าวดี และการปฏิเสธความกลัวและความเศร้าโศก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหมือนกับวรรณกรรมนี้ที่เกี่ยวกับการยืนหยัดต้านทานและอัลกุรอานได้เน้นว่า หากว่าท่านนั้นมีการยืนหยัดต้านทาน ความหวาดกลัวและความเศร้าโศก ซึ่งเป็นภัยพิบัติใหญ่ทั้งสองประการสำหรับประชาชาติหนึ่ง ก็จะถูกขจัดออกไปจากท่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การดำเนินการที่เกี่ยวกับประเด็นการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ นั้นมีคุณค่า แต่ก็ถือว่ายังน้อย โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์จะห่างไกลมากเพียงใด การมีมะอ์รีฟัต (การเข้าใจอย่างถ่องแท้) ก็จะเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น เพราะว่ามือของผู้บิดเบือนนั้นกำลังหลบซ่อนอยู่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เปรียบเทียบวรรณกรรมของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นดั่งตาน้ำที่พุ่งขึ้น โดยท่านได้เน้นถึงการผลิตวรรณกรรมที่งดงามในฐานะทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในการสร้างผลงานศิลปะ ตลอดจน ความจำเป็นในการกำหนดบุคลิกภาพของบรรดาชะฮีดและเหล่านักต่อสู้ในสงคราม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประเด็นของการรำลึกถึงช่วงเวลาการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ คือ ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องไม่ให้เกิดช่องว่างในหมู่ผู้คนทั้งหลายในประเภทของการญิฮาดและการยืนหยัดต้านทาน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บรรดาผู้ป้องกันฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ คือ อีกตัวอย่างหนึ่งที่กระจ่างชัดจากความต่อเนื่องของการมีเกียรติในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และความต่อเนื่องทางจิตวิญญาณแห่งการญิฮาดในคนรุ่นใหม่ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การเข้าร่วมกันอย่างทันเวลาของเหล่านักต่อสู้จากเชื้อชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวอิหร่าน ซีเรีย อิรัก เลบานอนและอัฟกานิสถานในแนวเดียวกัน ถือเป็นปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ของยุคสมัยของเรา”

ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านผู้นำได้กล่าวชื่นชมความเพียรพยายามในการเสียสละและความต่อเนื่องของบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในการเผชิญหน้ากับโรคโคโรน่า โดยท่านผู้นำกล่าวแสดงความเสียใจเนื่องจากการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมชาติ 150 ถึง 170 คนต่อวัน อันเป็นผลมาจากโรคไวรัสโคโรน่า โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การเยียวยาในความจริงที่น่าเสียใจนี้นั้นขึ้นอยู่กับประชาชน ด้วยกับการระมัดระวังในหลักสุขอนามัย เช่น การเว้นระยะห่าง การสวมใส่หน้ากากอนามัย และการล้างมือ เป็นต้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเกี่ยวกับประเด็นอัรบะอีนว่า “ประชาชาติอิหร่านนั้นมีความรักต่ออิมามฮุเซนและการซิยาเราะฮ์วันอัรบะอีน แต่ประเด็นการเดินขบวนวันอัรบะอีนนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของศูนย์การควบคุมโรคโคโรน่า ซึ่งในขณะนี้ได้แสดงความเห็นคัดค้านในการกระทำดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งหมดทุกคนก็จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์การปรากฏตัวของบางคนที่เขตชายแดนเพื่อแสดงความรักต่ออิมามฮุเซน (อ.) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การแสดงความรัก สามารถจะกระทำได้จากที่บ้านของพวกเขา ดังที่มีหลายรายงานเกี่ยวกับการซิยาเราะฮ์ในวันอัรบะอีน ซึ่งประชาชนทั้งหลายนั้นสามารถที่จะอ่านซิยาเราะฮ์อัรบะอีน ซึ่งเป็นแสดงความรักต่อท่านอิมามฮุเซน (อ.)ขณะที่เรานั้นมีความหวังในการเข้าร่วม แต่เนื่องจากสถานการณ์เช่นนี้นั้นไม่อำนวย หากพระเจ้าทรงประสงค์ ท่านอิมามก็จะช่วยเหลือพวกเรา”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ นายพลบากิรี ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมต่างๆที่ดำเนินการในด้านการรักษาและการส่งเสริมวัฒนธรรม ผลงานและคุณค่าต่างๆของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยเขากล่าวว่า “หน้าที่ของเรา จะต้องมีการฟื้นฟูยุคแห่งความรุ่งเรืองและจะไม่ปล่อยให้ยุคแห่งความภาคภูมิใจในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้นมีการบิดเบือนและถูกลืมเลือนเป็นอันขาด”

 

700 /