สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

บรรดาผู้จัดงานรำลึกและเทอดเกียรติ ครบรอบปีการเสียชีวิตชะฮีดสุไลมานี

"การแก้แค้นให้กับชะฮีดสุไลมานี เป็นสิ่งที่แน่นอน”

บรรดาผู้จัดงานรำลึกและเทอดเกียรติ ครบรอบปีการเสียชีวิตชะฮีดสุไลมานี พร้อมครอบครัวของเขา เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า ชะฮีดสุไลมานี คือ วีรบุรุษของประชาชาติอิหร่านและประชาชาติอิสลาม และกล่าวว่า “การเข้าร่วมของประชาชนหลายล้านคนในพิธีแห่ศพของชะฮีดสุไลมานีและอาบูมะฮ์ดี อัลมุฮันดิส ในอิรักและอิหร่าน ถือว่าเป็นการตบหน้าพวกอเมริกาอย่างรุนแรง เป็นครั้งแรก แต่การตบหน้าที่รุนแรงกว่านั้นคือ การมีชัยชนะในการวางแบบแผนเหนือการครอบงำของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการที่ว่างเปล่า และ การขับไล่พวกสหรัฐฯให้ออกไปจากภูมิภาค ซึ่งแน่นอนว่า ผู้สั่งการและเหล่าฆาตกรที่สังหารนายพลสุไลมานี ควรที่จะต้องได้รับการแก้แค้นอย่างแสนสาหัส และการแก้แค้นครั้งนี้ จะเกิดขึ้นในทุกเวลาที่มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ให้คำแนะนำที่สำคัญ 4 ประการแก่บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯและประชาชาติอิหร่าน ดังนี้ “พวกท่านจงมีความเข้มแข็งในทุกๆด้าน” “อย่าไว้วางใจต่อศัตรู” “จงรักษาเอกภาพแห่งชาติ” และ “จะต้องครุ่นคิดเพื่อไม่ให้เกิดการคว่ำบาตร มากกว่าการครุ่นคิดในการยกเลิกการคว่ำบาตร”

ในช่วงแรกของการพบปะกัน ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวขอบคุณต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้จัดงานรำลึกและเทอดเกียรติ ครบรอบปีการเสียชีวิตของชะฮีดสุไลมานี และบรรดาชะฮีดผู้ปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งท่านยังได้กล่าวขอบคุณต่อการดำเนินการที่ดีของครอบครัวของชะฮีดสุไลมานี เพื่อให้เกิดความทรงจำและการดำเนินตามแนวทางของเขาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “เนื่องจากชะฮีดผู้นี้ เขาอยู่ร่วมกับประชาชนมาโดยตลอด ฉะนั้นการจัดงานรำลึกและเทอดเกียรติให้เขา ควรที่จะต้องใช้ขีดความสามารถของประชาชน ความพยายามต่างๆทางด้านวัฒนธรรมและการมีความคิดสร้างสรรค์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเป็นชะฮีดของนายพลสุไลมานี เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นว่า ชะฮีดผู้นี้ได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งชาติสำหรับประชาชาติอิหร่านและยังเป็นวีรบุรุษของประชาชาติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เหตุผลที่ทำให้ชะฮีดสุไลมานี เป็นวีรบุรุษของประชาชาติอิหร่านและยังทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า(แม้แต่ผู้ที่ไม่คาดคิดก็ตาม) ได้เทอดเกียรติต่อเขา และแสดงความรู้สึกออกมา ก็เพราะว่า ชะฮีดสุไลมานีได้สำแดงภาพลักษณ์อันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมแห่งอิหร่านของชาวอิหร่านออกมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความกล้าหาญและการยืนหยัดต้านทาน คือคุณลักษณะที่โดดเด่นทั้งสองประการของชะฮีดสุไลมานี โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความกล้าหาญและการมีจิตวิญญาณแห่งการยืนหยัดต้านทาน เป็นคุณลักษณะอันพิเศษของชาวอิหร่าน ความอ่อนแอและการไม่โต้ตอบ ถือเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับจิตวิญญาณแห่งชาติของพวกเขา ดังนั้น เหล่าผู้ที่อ้างตนว่ามีความรักชาติ แต่ไม่มีการโต้ตอบใดๆแสดงออกมาถือว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีสติปัญญา ความเฉลียวฉลาด การเสียสละและมิตรภาพ คือ อีกคุณลักษณะอันพิเศษของชะฮีดสุไลมานี โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ชะฮีดที่สูงส่งผู้นี้ เป็นผู้ที่สันทัดทางด้านจิตวิญญาณ มีความบริสุทธิ์ใจ และยังเป็นผู้ที่มุ่งหวังในวันปรโลก ทั้งนี้ เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ที่เสแสร้งอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คุณลักษณะทั้งหลายเหล่านี้ที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของประชาชาติอิหร่านได้สำแดงในชะฮีดสุไลมานี และเขาได้นำมาสู่ภาคปฏิบัติให้กับประเทศต่างๆในภูมิภาคได้เห็น จึงทำให้ชะฮีดผู้นี้ได้กลายเป็นวีรบุรุษของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในอีกด้านหนึ่ง ชะฮีดสุไลมานี คือ วีรบุรุษของประชาชาติอิสลาม เพราะว่าเขาได้พยายามอย่างมาก การมีจิตวิญญาณและการเป็นชะฮีด แสดงให้เห็นว่า นามของเขานั้นเป็นรหัสลับในการขับเคลื่อนและการอาสาสมัครในการยืนหยัดต้านทานในโลกอิสลามต่อไป ไม่ว่าในสถานที่ใดก็ตามในโลกอิสลามที่มีพื้นฐานมาจากการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับชาติมหาอำนาจ และเมื่อนั้น ชื่อรหัสลับของพวกเขา คือ ชะฮีดสุไลมานี”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำว่า “ชะฮีดสุไลมานี คือ รูปแบบของการยืนหยัดต้านทานและเป็นตัวอย่างของการต่อสู้ระหว่างประชาชาติทั้งหลายของอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำอีกว่า ชะฮีดสุไลมานี ได้ทำให้ชาติมหาอำนาจได้พบกับความล้มเหลวทั้งในช่วงของการมีชีวิตและในการเป็นชะฮีดของเขา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประธานาธิบดีสหรัฐได้ใช้จ่ายในภูมิภาค ถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่ได้รับสิ่งใดเลย จนในที่สุด เขาก็จำเป็นที่ต้องเข้ามาในฐานทัพในช่วงยามค่ำคืนเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งทั้งโลกได้ประจักษ์ว่า พวกสหรัฐนั้นไม่บรรลุเป้าหมายของพวกเขาทั้งในซีเรีย และโดยเฉพาะในอิรัก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า วีรบุรุษของการกระทำอันยิ่งใหญ่นี้ คือ นายพลสุไลมานี ซึ่งได้กระทำในช่วงที่เขานั้นมีชีวิตอยู่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่าศัตรูได้พบกับความล้มเหลว หลังจากการเป็นชะฮีดของนายพลสุไลมานี โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การเข้าร่วมของประชาชนหลายล้านคนในพิธีแห่ศพของชะฮีดสุไลมานีและชะฮีดอาบูมะฮ์ดี อัลมุฮันดิส ทั้งในอิรักและอิหร่าน เป็นความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด และการจัดพิธีรำลึกและเทอดเกียรติให้กับชะฮีดทั้งสอง ได้ทำให้เหล่านายพลแห่งสงครามจิตวิทยาพบกับความสั่นสะเทือนและยังถือเป็นการตบหน้าพวกอเมริกาอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการตบหน้าอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ การโจมตีด้วยขีปนาวุธเข้าใส่ฐานทัพอัยนุลอัสซัดของสหรัฐ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แต่ทว่าการตบหน้าที่รุนแรงกว่า กล่าวคือ การได้รับชัยชนะในการวางแบบแผนเหนือการครอบงำของชาติมหาอำนาจ ที่ว่างเปล่า ซึ่งต้องใช้ความอุตสาหะ พยายามของบรรดาเยาวชน นักการปฏิวัติอิสลาม และเหล่าชนชั้นนำผู้ศรัทธาของพวกเรา และเช่นเดียวกัน การขับไล่พวกสหรัฐให้ออกไปจากภูมิภาคก็ต้องอาศัยความพยายามของประชาชาติต่างๆและนโยบายในการยืนหยัดต้านทานอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่า การตบหน้าที่รุนแรงนี้ไม่ใช่เป็นการแก้แค้น เพราะว่าเหล่าผู้สั่งการและฆาตกรที่สังหารนายพลสุไลมานี จะต้องไดรับการแก้แค้นอย่างแน่นอน และการแก้แค้นครั้งนี้ ก็จะเกิดขึ้นในทุกเวลาที่มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน แม้ว่า ตามคำกล่าวของผู้มีเกียรติคนหนึ่งที่กล่าวว่า รองเท้าของนายพลสุไลมานีนั้นมีค่ากว่าศีรษะของฆาตกรที่สังหารเขาเสียอีก”"

ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้ให้คำแนะนำที่สำคัญหลายประการแก่บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯและประชาชนทั้งหลาย

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำในคำแนะนำประการแรก โดยท่านกล่าวว่า “เราจะต้องมีความเข้มแข็งในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมทั้งการป้องกันประเทศ เพราะว่าหากพวกเรามีความเข้มแข็ง เหล่าศัตรูก็ไม่สามารถที่จะมีความละโมบ ความก้าวร้าวและการละเมิดกับพวกเราได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวในคำแนะนำประการที่สองว่า “คำแนะนำที่เด็ดขาดของข้าพเจ้า ก็คือ พวกท่านจะต้องไม่ไว้วางใจศัตรูเป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สำหรับการทำให้ปัญหาต่างๆของประชาชนได้รับการแก้ไขและมีอนาคตที่ดีของประเทศ พวกท่านก็อย่าได้ไว้วางใจในคำสัญญาอันนั้น อันนี้ของพวกเขา เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำสัญญาที่ดี แต่ทว่าเป็นคำสัญญาของเหล่าคนชั่วร้าย และจะต้องไม่ลืมความเป็นปฏิปักษ์ต่างๆของพวกเขาอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมว่า “พวกท่านได้เห็นแล้วมิใช่หรือว่า อเมริกาของทรัมป์และอเมริกาของโอบามาได้กระทำอะไรไว้บ้างกับพวกท่าน ความเป็นปฏิปักษ์มิได้เฉพาะกับอเมริกาของทรัมป์เท่านั้น ซึ่งการจากไปของเขาไม่ได้จบสิ้น และอเมริกาของโอบามาก็ได้กระทำในสิ่งไม่ดีกับพวกท่านและประชาชาติอิหร่าน อีกด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ประเทศยุโรปทั้งสามประเทศ จนในที่สุดก็แสดงการกระทำที่ไม่ดี ความต่ำต้อย และการตีสองหน้า ออกมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำในคำแนะนำประการต่อไป โดยชี้ถึงการรักษาเอกภาพแห่งชาติด้วยการทำให้เสียงประชาชาตินั้นเป็นปึกแผ่นเดียวกันในหลายๆเรื่องด้วยกัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จะต้องไม่ทำลายความเป็นเอกภาพนี้และความเป็นเสียงหนึ่งเดียวกันของประชาชน รวมทั้งการทำให้ประชาชาติมีความแตกแยกกัน ซึ่งบรรดาผู้นำทั้งสามสภา ก็จะต้องมีความสามัคคี การร่วมมือกันและจะทำให้เกิดความเข้มแข็งในเอกภาพของชาติได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ในคำพูดของบางคนที่สร้างความแตกแยก โดยท่านผู้นำกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ว่า “พวกท่านจงแก้ไขความแตกต่างของพวกท่านด้วยการเจรจาต่อรองกัน แล้วพวกท่านก็ไม่ได้บอกหรือว่า เราควรที่จะเจรจากับโลก แล้วเป็นไปไม่ได้ กระนั้นหรือว่า การเจรจากัน จะไม่ทำให้ความแตกต่างกันได้รับการแก้ไข

คำแนะนำประการสุดท้ายของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี คือ การเน้นย้ำถึงการไม่ทำให้การคว่ำบาตรเกิดขึ้น

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงที่ว่า การยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นอยู่ในมือของศัตรู แต่การไม่ให้เกิดการคว่ำบาตรอยู่ในมือของพวกเรา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ฉะนั้น เราจะต้องครุ่นคิดในการไม่ให้เกิดมาตรการคว่ำบาตรมากกว่าการยกเลิกการคว่ำบาตรเสียอีก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า  “แน่นอนว่า เรานั้นไม่ได้บอกว่า เราไม่ต้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร หากว่าเป็นไปได้เราก็จะยกเลิกมันในทันที แม้ว่าเพียงหนึ่งชั่วโมง เราก็จะไม่ปล่อยให้ล่าช้าออกไป แม้ว่า มันได้ล่าช้าไปถึงสี่ปีด้วยกันก็ตาม นับจากปี  1395 (ปฏิทินอิหร่าน) ซึ่งมีการกำหนดที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรทั้งหมด แต่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีท่าทีในการยกเลิกการคว่ำบาตร แต่ยังมีการเพิ่มขึ้นในมาตรการคว่ำบาตรอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯว่า “หากว่า เราสามารถที่จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรด้วยวิธีที่ถูกต้อง มีความฉลาดหลักแหลมและมีเกียรติ ก็ควรที่จะกระทำในสิ่งนี้ แต่จุดหลักที่น่าสนใจนั้น ควรที่จะทำให้ไม่เกิดขึ้นในการคว่ำบาตร ซึ่งถือเป็นความคิดสร้างสรรค์ของพวกท่านทั้งหลาย”

ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ข้าพเจ้าขอสนับสนุนต่อบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯด้วยเงื่อนไขที่ว่า พวกเขาจะต้องยึดมั่นต่อเป้าหมายของประชาชาติ”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นายพลซาลามี ผู้บัญชากองทัพสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการในการจัดงานรำลึกและเทอดเกียรติให้กับชะฮีดสุไลมานีและบรรดาชะฮีด ผู้ยืนหยัดต้านทาน

 

700 /