สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวปราศรัยเนื่องในวันครบรอบการอสัญกรรมท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)

“การเข้าร่วมของประชาชาติในการเลือกตั้ง เป็นหน้าที่สำคัญทางศาสนา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปราศรัยเนื่องในวันครบรอบปีแห่งการอสัญกรรมของท่านโคมัยนี (ร.ฮ.) โดยผ่านการถ่ายทอดสดจากสถานีโทรทัศน์ทางการ ซึ่งท่านผู้นำถือว่า การมีนวัตกรรมและการทำให้ทฤษฎีของสาธารณรัฐอิสลามได้เกิดขึ้นจริง หมายถึง การก่อตั้งระบอบการปกครองบนพื้นฐานของอิสลามอันบริสุทธิ์และระบอบประชาธิปไตยที่ได้รับมาจากความลึกซึ้งของศาสนาอิสลาม คือ นวัตกรรมที่สำคัญที่สุดของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ และท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ความลี้ลับอันรุ่งโรจน์ของความเป็นอมตะของสาธารณรัฐอิสลามและระบอบของท่านโคมัยนี แม้ว่าจะมีการคาดการณ์จากศัตรูเกี่ยวกับการล่มสลายของระบอบนี้ก็ตาม แต่การรวมตัวของสองคำ คือ “สาธารณรัฐ” และ “อิสลาม” หมายถึง การปกครองแบบอิสลามที่มีประชาชนเข้าร่วมด้วย โดยถือว่า เป็นหลักประกันในความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องของท่านอิมามโคมัยนีที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการเข้าร่วมประชาชนทุกคนในการเลือกตั้ง เป็นการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสม ทั้งยังเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆและท่านผู้นำยังได้อธิบายถึงประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับความจำเป็นอย่างมั่นคงของประธานาธิบดีในอนาคตที่จะต้องธำรงความยุติธรรมทางสังคม การต่อสู้กับการทุจริตอย่างเปิดเผยและการเสริมสร้างการผลิตภายในประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงรู้ไว้เถิดว่า การเข้าร่วมในการเลือกตั้งและการเชิญชวนบุคคลอื่นเข้าร่วมในภารกิจนี้ ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง” 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการรำลึกความทรงจำของท่านอิมามโคมัยนีในช่วงวันครบรอบปีแห่งการอสัญกรรมของท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติและประเทศชาติ จำเป็นที่จะต้องปกปักรักษาความทรงจำและคำชี้นำของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้นำที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด และนักปราชญ์ ผู้ทรงวิทยาปัญญาอันมั่นคง ซึ่งท่านนั้นมีเจตจำนงอันแข็งกล้าและมีจิตใจที่อ่อนโยน ทั้งยังมีศรัทธาอย่างลึกซึ้ง”

ท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลามและการคาดการณ์ต่างๆนานา อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของเหล่าผู้ที่เรียกร้องที่มากเกิน บนพื้นฐานของการทำลายล้างสาธารณรัฐอิสลามภายในสองเดือน หกเดือน หรืออย่างมากที่สุด ภายในหนึ่งปี โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความแน่วแน่และความเด็ดขาดของท่านอิมามโคมัยนี และชัยชนะอันโดดเด่นของประชาชาติในสงครามและในประเด็นอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ได้ลดทอนความโกลาหลให้น้อยลง แต่หลังจากท่านอิมามได้อำลาจากโลกนี้ เหล่าศัตรูและผู้ที่ไม่หวังดีได้ตอกย้ำถึงความปรารถนาที่จะให้สาธารณรัฐอิสลามนั้นต้องพบกับความล่มสลาย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การประกาศอย่างเป็นทางการของพรรคการเมืองหนึ่งที่เก่าแก่และเต็มไปด้วยข้ออ้างต่างๆในปี 1369 (ปฏิทินอิหร่าน) และการเขียนจดหมายจากกลุ่มสมาชิกรัฐสภาในหลายปีต่อมา ที่บ่งบอกว่า วาระของสาธารณรัฐอิสลามนั้นกำลังจะสิ้นสุดลง และการประกาศต่อสาธารณชนของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบางคนที่ว่า บนพื้นฐานที่ว่า สาธารณรัฐอิสลามนั้นจะมีอายุไม่ถึง 40 ปี ถือว่า เป็นตัวอย่างของการคาดการณ์ที่ผิดพลาดต่อการล่มสลายของสาธารณรัฐอิสลาม  โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บุคคลและกลุ่มเหล่านี้ในคำทำนายต่างๆ นอกเหนือจาก จะแสดงความปรารถนาของพวกเขาแล้ว ยังอ้างถึงความพ่ายแพ้และการทำลายล้างในการปฏิวัติโลกอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ กล่าวเสริมว่า “แม้แต่ภายในประเทศเอง  ได้มี 2 ขบวนการเคลื่อนไหว กล่าวคือ การเคลื่อนไหวในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและการเคลื่อนไหวในระดับชาติ ซึ่งได้พบกับความล้มเหลวในไม่กี่ปีต่อมา หลังจากการก่อตั้งด้วยการขึ้นสู่อำนาจของเผด็จการที่มืดบอดของเรซา ข่าน และการรัฐประหารที่ซับซ้อนและลึกซึ้งของมูฮัมหมัด เรซา ด้วยเหตุนี้เอง การคาดการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการล่มสลายของสาธารณรัฐอิสลามด้วยการอ้างถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้ก็เช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ของการทำนายของศัตรู ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามนั้นกลับมีอำนาจ ความก้าวหน้าและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า  “ความลี้ลับอันรุ่งโรจน์และน่าภาคภูมิใจของความเป็นอมตะของระบอบของท่านอิมามโคมัยนี หมายถึง การรวมตัวกันของสองคำ คือ “สาธารณรัฐ “และ “อิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความคิดริเริ่มในทฤษฎีของสาธารณรัฐอิสลาม เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่านอิมามโคมัยนี โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ได้แนะนำให้ทฤษฎีนี้เข้าสู่เวทีทฤษฎีทางการเมืองระหว่างประเทศและด้วยกับมีความรู้ที่ลึกซึ้งของท่าน ท่านอิมามยังได้ทำให้ประชาชนเข้ามามีอำนาจอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรู้จักและความสันทัดที่ครอบคลุมของท่านอิมามโคมัยนีในวิทยาการอิสลาม เป็นการทำให้ทฤษฎีของสาธารณรัฐอิสลามได้บังเกิดขึ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ถือว่า ความจำเป็นในการปกครองของอิสลามและความเชื่อมั่นของประชาชนนั้น เกิดขึ้นมาจากหัวใจของอิสลามอันบริสุทธิ์และการมีความศรัทธามั่นต่อพวกเขาอย่างลึกซึ้ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงเหล่าผู้ต่อต้านอย่างแข็งกร้าวในสองด้านของอิสลามและความเป็นประชาธิปไตยของสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ส่วนหนึ่งของเหล่าผู้ที่ต่อต้านการปกครองอิสลาม คือ ฆราวาสนิยมทางศาสนา โดยที่เชื่อว่า ศาสนาไม่ได้เป็นรากฐานในการจัดตั้งระบอบการเมืองและการบริหารประเทศ แต่เป็นเพียงประเด็นทางปัจเจกบุคคลและการทำอิบาดัต(การเคารพภักดีต่อพระเจ้า) เท่านั้น แน่นอนว่า นักฆราวาสนิยมบางคนก็ยังเชื่อเช่นกันว่า ศาสนานั้นมีหลักการที่เป็นอันตรายและเป็นการทำลายสังคมอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “อีกกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านการปกครองของอิสลาม ซึ่งมีความเชื่อในศาสนา แต่บอกว่าอิสลามนั้นจะต้องไม่แปดเปื้อนด้วยการเมือง อันที่จริงแล้ว บุคคลเหล่านี้ ก็คือ “นักฆราวาสทางศาสนา” และไม่มีความเชื่อในการเข้ามีบทบาทและการปกครองของศาสนาในการดำเนินชีวิตทางการเมืองและสังคม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า กลุ่มผู้ต่อต้านประชาธิปไตยของสาธารณรัฐอิสลาม ก็มีด้วยกันสองกลุ่ม เช่นกัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กลุ่มที่ต่อต้านเหล่านี้ เป็น "พวกฆราวาสเสรีนิยม" ซึ่งบอกว่าประชาธิปไตยนั้น จะต้องเป็นเสรีนิยมและเทคโนแครต ซึ่งประเด็นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “กลุ่มที่สองของกลุ่มที่ต่อต้านประชาธิปไตยทางศาสนา พวกเขามีความเชื่อในศาสนา แต่กลับบอกว่าประชาชนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกครองทางศาสนา และศาสนาจะต้องจัดตั้งรัฐบาลโดยปราศจากการพึ่งพาประชาชน ซึ่งความสุดโต่งของทัศนะนี้ ได้เกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมาในการก่อตั้งกลุ่มดาอิช (ไอซิส)ขึ้นมา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปกครองแบบศาสนาโดยพึ่งพาประชาชน เป็นคำวินิจฉัยและทฤษฎีที่เกิดขึ้นมาจากความรู้ ไม่ใช่ด้วยกับความรู้สึก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาธิปไตยทางศาสนานั้นเกิดขึ้นมาจากตัวบทของอิสลามและผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ เพราะว่าเขานั้นไม่ได้ศึกษาและไตร่ตรองในพระมหาคัมภีรอัลกุรอาน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกหลักฐานจากหลายโองการอัลกุรอานที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการปฏิบัติตามท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติของอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ใน100 โองการของอัลกุรอานได้อธิบายถึงการที่ประชาชนจะต้องปฏิบัติตามท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติ รวมทั้งโองการในการทำญิฮาด(การทำสงคราม) การธำรงความยุติธรรม การดำเนินการตามข้อจำกัด การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อตกลงระหว่างประเทศ  และอีกหลายสิบประเด็นต่างๆ ซึ่งเมื่อได้มีการรวมกันของสิ่งเหล่านี้ จึงหมายถึง การจัดตั้งการปกครองนั่นเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกหลักฐานจากฮะดีษอย่างมากมายและจริยวัตรของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติที่เกี่ยวกับการจัดตั้งการปกครอง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หลังจากการจากไปของท่านศาสดา แม้ว่าจะมีการโต้เถียงกันในเรื่องตัวแทนของท่านก็ตาม แต่ก็ไม่มีมุสลิมคนใดที่สงสัยเลยว่าการปกครองนั้น จะต้องดำเนินการตามศาสนาและคัมภีร์อัลกุรอานอย่างต่อเนื่อง” 

ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวสรุปในส่วนนี้ของการปราศรัยของท่าน โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “ตามโองการต่างๆของอัลกุรอาน ฮะดีษและจริยวัตรของท่านศาสดา บ่งบอกว่า หากว่าผู้ใดก็ตามที่มีความเชื่อในศาสนาอิสลาม แน่นอนว่าเขาก็จะมีความเชื่อในการปกครองแบบอิสลามด้วย”

หลังจากที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงการปกครองแบบอิสลาม ท่านได้กล่าวถึงประเด็นสาธารณรัฐและประชาธิปไตย โดยท่านได้เน้นย้ำว่า ความถูกต้องของคะแนนเสียงของประชาชน เป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยท่านกล่าวว่า “เราสามารถมองในประเด็นนี้ได้ จากสองมุมมองด้วยกัน กล่าวคือ 1.มุมมองทางศาสนา และความศรัทธาในรูปแบบของความรับผิดชอบและการมีสิทธิ  2 – จากมุมมองที่ว่าการเกิดขึ้นของการปกครองแบบศาสนาในทางปฏิบัตินั้นเป็นไปไม่ได้ หากปราศจากประชาชน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงกรณีในการลงคะแนนเสียงของประชาชนจากมุมมองทางศาสนาและหลักศรัทธา โดยท่านกล่าวเสริมว่า  “ในโองการต่างๆและริวายัต (คำรายงาน) มากมาย ได้บ่งบอกว่าประชาชนทั้งหมดทุกคนนั้นเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของสังคมของพวกเขาเอง และหน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเขา ก็คือ การป้องกันจากความหันเหและการแบ่งแยกทางสังคม ทั้งการเชิญชวนให้กระทำความดี ถือว่า เป็นหน้าที่โดยทั่วไปของพวกเขา ซึ่งหนึ่งในการกระทำความดีที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การจัดตั้งการปกครองแบบศาสนา และมนุษย์ที่มีเจตจำนงและมีสิทธิในการกำหนดชะตากรรม ซึ่งการปกครองโดยประชาชน คือ หนึ่งในตัวอย่างของการมีสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงประเด็นประชาธิปไตยแบบศาสนาในมุมมองของความต้องการในการปกครองที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “การปกครองที่ปราศจากการการสนับสนุนจากประชาชน จะไม่เกิดขึ้นเลย นอกจาก จะเป็นการใช้กำลังและการกดขี่ข่มเหง ในขณะที่ในการปกครองแบบอิสลามนั้นไม่อนุญาตให้มีการกดขี่ข่มเหง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า การปกครองแบบอิสลามนั้น จะเกิดขึ้นด้วยกับการสนับสนุนจากประชาชนเพียงเท่านั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “ด้วยเหตุนี้เอง  ระบอบประชาธิปไตยแบบศาสนาและสาธารณรัฐอิสลาม จึงเป็นแผนงานทางศาสนาที่บริสุทธิ์ ขณะที่บางคนยังบอกว่าอิมามโคมัยนีได้นำเอาระบอบประชาธิปไตยนั้นมาจากตะวันตก จึงถือว่าเป็นคำพูดที่ไร้เหตุผล เพราะว่าท่านอิมามไม่ใช่ผู้ที่ละทิ้งการปกครองจากพระเจ้าเลย”

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า  “ในวันที่ท่านอิมามได้ยกประเด็นเรื่องความจำเป็นในการคลุมฮิญาบในสังคม บางคน รวมทั้งญาติบางคนของท่านอิมามก็ได้ออกมาคัดค้าน แต่ทว่าท่านอิมามก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาสนาอย่างเด็ดขาด” 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า  “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ ได้นำเอานวัตกรรมใหม่ทางศาสนานี้มาใช้ บนพื้นฐานของการมีความรู้ทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง และท่านได้ทำให้ประชาชาติอิหร่านที่เคยชินกับการปกครองแบบเผด็จการได้เข้ามาสู่ภาคสนาม จนทำให้พวกเขานั้นเชื่อมั่นในขีดความสามารถของพวกเขาในการกระทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ ดังเช่น การล่มสลายของการปกครองระบอบกษัตริย์ในหลายศตวรรษ การยืนหยัดในการเผชิญหน้าในสงครามแปดปีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจทั้งหมดของโลก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำว่า ท่านอิมามโคมัยนี ถือว่า คำสองคำ คือ "สาธารณรัฐ" และ "อิสลาม" หมายถึง "การปกครองแบบอิสลาม" และ "การปกครองโดยประชาชน" เป็นทางออกของปัญหาต่างๆทั้งหมด โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า "เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนได้นำสองคำนี้มาใช้ ก็จะมีการรักษามาตรฐานของอิสลาม และเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีการรักษาหนึ่งในสองคำนี้ พวกเราก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้ถึงตัวอย่างหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่า “หากว่าเราได้ทำให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในเศรษฐกิจ การขยายโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลาง หมายถึง ในการผลิต เราก็จะได้เห็นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าในขณะนี้อย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า  “ฉะนั้น หากว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในประเด็นปัญหาภายในประเทศและต่างประเทศ พวกเขาได้มีความระมัดระวังต่อข้อจำกัดและมาตรฐานของอิสลาม ทั้งยังมีการเตรียมความพร้อมในการสร้างงานด้วยการเข้าร่วมของประชาชน ซึ่งก็จะทำให้ปัญหาต่างๆนั้นได้รับการแก้ไข”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงคำกล่าวบางส่วนของท่านอิมามโคมัยนีที่เกี่ยวกับอิสลามและประชาธิปไตย โดยท่านกล่าวเสริมว่า  “จากทัศนะของท่านอิมามโคมัยนี ในมุมหนึ่ง อิสลามซึ่งต่อต้านกับความคับแคบและการผสมผสาน  การกดขี่ข่มเหง ความเป็นมหาอำนาจจอมอหังการ การทุจริต และความละโมบ การต่อต้านการครอบงำของอเมริกาและการแทรกแซงจากต่างประเทศ การต่อต้านการแบ่งแยกชนชั้นสูงและความแตกต่างทางสังคม และในอีกด้านหนึ่ง อิสลาม คือ ฝ่ายที่สนับสนุนผู้ที่ถูกกดขี่และการเรียกร้องความยุติธรรม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตในกรณีทัศนะของท่านอิมามโคมัยนีที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง โดยท่านกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ถือว่า การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ทางศาสนา ดั่งในคำสั่งเสียของท่านที่ได้เขียนไว้ว่า การไม่เข้าร่วมในการเลือกตั้งในบางสมัย เป็นหนึ่งในการกระทำความผิดบาปใหญ่ การละเลยจากการเข้าร่วม จะส่งผลกระทบทั้งทางโลก และแม้กระทั่งกับกลุ่มชนรุ่นหลัง ซึ่งจะต้องถูกซักถามจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า หลังจากการอำลาจากไปของท่านอิมามโคมัยนี ประชาชาติอิหร่านยังคงรักษาของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั่นคือ ระบอบประชาธิปไตยแบบศาสนา และการยืนหยัดของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายของเหล่าศัตรูในการแยกประชาชนออกจากระบอบการปกครองนี้และทำให้พวกเขานั้นไม่เชื่อมั่นในอิสลามและประชาธิปไตยแบบศาสนา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ช่างน่าเสียใจที่บางคนได้พูดจาซ้ำซากด้วยการนำเอาคำพูดของเหล่าศัตรูที่ใช้วาทะกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งในบางครั้งพวกเขาก็พูดถึงความจำเป็นในการขจัดอุดมการณ์และการมุ่งสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม และในบางครั้ง พวกเขาก็แสดงจุดยืนของความเห็นอกเห็นใจต่อความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา หรือแม้แต่บางคนก็บอกว่าบรรทัดฐานของอิสลามนั้นไม่สามารถที่จะนำมารวมกับประชาธิปไตยได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “บรรดาผู้ที่พูดจาซ้ำซากเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจต่อประชาชาติอิหร่านเลย แต่พวกเขานั้นต้องการที่จะขจัดรากเหง้าของอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งคำว่า สาธารณรัฐและอิสลาม ได้ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญ โดยท่านกล่าวว่า “ในรัฐธรรมนูญได้กำหนดเงื่อนไขของการเป็นประธานาธิบดี คือ การเป็นนักการเมืองและนักการศาสนา การรักษาความยำเกรงและความน่าเชื่อถือ ซึ่งหมายความว่า หัวหน้าฝ่ายบริหารด้วยการดำเนินการอย่างชาญฉลาดในการเมืองนั้น จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และทางด้านความศรัทธาก็จะต้องเป็นผู้ชี้นำและรักษาศาสนาของประชาชนด้วยเช่นกัน”

อีกส่วนหนึ่งในการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้กล่าวถึงบรรยากาศของการเลือกตั้งที่กำลังคุกรุ่นขึ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การเชิญชวนให้ประชาชนไม่เข้าร่วมการเลือกตั้งด้วยกับข้ออ้างต่างๆนานา ถือเป็นการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของเหล่าศัตรู และหากว่าหนึ่งในสองรากฐาน กล่าวคือ ความเป็นประชาธิปไตยและศาสนาได้รับความอ่อนแอ อิสลามกับอิหร่านก็จะพบกับความเสียหายและจะถูกตบหน้าอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “มีการกล่าวกันว่า บางคนนั้นเกิดความลังเลที่จะเข้าร่วมในการเลือกตั้ง เนื่องจากปัญหาของความกดดันในค่าครองชีพที่เราทุกคนนั้นสัมผัสได้ หรือบางคนบอกว่าเราได้เคยลงคะแนนเสียงให้บุคคลหนึ่งในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่ในช่วงสุดท้าย กลับเป็นเหตุให้พวกเขานั้นสิ้นหวัง ฉะนั้น เราจะไม่เข้าร่วมในการเลือกตั้ง สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ข้อโต้แย้งที่ถูกต้องและอย่าได้ทำให้เรานั้นต้องหมดหวังจากการเข้าร่วมในการเลือกตั้งเป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “หากว่ามีความไม่เป็นระบบ ระเบียบ ความไร้ประสิทธิภาพ และการมีจุดอ่อนในการบริหารจัดการ ก็จะต้องมีการชดเชยด้วยกับการเลือกที่ถูกต้องและที่ดี และการเข้าร่วมอย่างมีประสิทธิภาพของการบริหารจัดการแบบประชานิยมและอิสลาม ไม่ใช่ว่าเป็นการไม่เข้าร่วมในการเลือกตั้ง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำถึงความละเอียดอ่อนของการเลือกตั้งและการให้ความสนใจกับการปฏิบัติงานของบรรดาผู้สมัครประธานาธิบดี โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อย่าได้เชื่อมั่นในคำมั่นสัญญาและคำพูดเพียงอย่างเดียวนั้นถือว่าไม่เพียงพอ ดังเช่น ในกรณีของการเจรจานิวเคลียร์ ซึ่งเราได้กล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่แล้วว่าให้มีการปฏิบัติการและอย่าได้เชื่อมั่นต่อคำพูดและคำมั่นสัญญาต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การมีประสิทธิภาพนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกับคำพูด ฉะนั้น เราจะต้องดูว่าในอดีตและผลงานของบรรดาผู้สมัครได้ยืนยันในคำมั่นสัญญาของพวกเขาไว้หรือไม่?

จากนั้น ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำที่สำคัญหลายประการแก่บรรดาผู้สมัครประธานาธิบดี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำต่อบรรดาผู้สมัครทั้งหลายโดยท่านได้เน้นย้ำถึงการออกห่างจากการให้คำมั่นสัญญาที่พวกเขานั้นไม่เชื่อมั่นว่าจะปฏิบัติมันได้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การไม่อนุญาตในการให้คำมั่นสัญญาโดยปราศจากการสนับสนุนในการปฏิบัติ และคำมั่นสัญญาดังกล่าวเช่นนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นความผิดบาปและจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติ เพราะว่าการไม่เกิดขึ้นของคำมั่นสัญญาเหล่านี้ จะทำให้ประชาชนนั้นหมดหวังจากการเลือกตั้งและรัฐอิสลาม ฉะนั้น พวกท่านจะต้องให้คำมั่นสัญญาที่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความคาดหวังอีกอย่างประการหนึ่งของผู้สมัครทั้งหลาย คือ ความซื่อสัตย์ต่อประชาชนและการกล่าวถึงนโยบายที่พวกเขานั้นมีความเชื่อมั่นในหัวใจของพวกเขา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาผู้สมัครทั้งหลาย จะต้องมีความซื่อสัตย์กับประชาชนและจะไม่กล่าวถึงนโยบายที่พวกเขานั้นไม่เชื่อมั่น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การส่งเสริมให้มีการเข้าร่วมในการเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกๆคน โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชนทุกๆคน จะต้องมีหน้าที่ในการเชิญชวนประชาชนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว มิตรสหาย และญาติสนิท ให้มาเข้าร่วมในการเลือกตั้ง และนี่คือตัวอย่างของคำว่า การสั่งเสียซึ่งกันและกันในสัจธรรม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ความคาดหวังอีกประการหนึ่งจากบรรดาผู้สมัคร คือ หากพวกเขาได้รับชัยชนะ พวกเขาจะต้องมีหน้าที่ในการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมทางสังคม การลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนยากจน การต่อสู้กับการทุจริตโดยปราศจากข้อสังเกตต่างๆ การเสริมสร้างการผลิตภายในประเทศและการต่อสู้กับการลักลอบการนำเข้าและสินค้าหนีภาษี และบุคคลที่เติมกระเป๋าของตนเองด้วยการทำลายการผลิตในประเทศจากการนำเข้า”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “บรรดาผู้สมัคร จะต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะต่างๆเหล่านี้ หากว่า หลังจากการเลือกตั้ง พวกเขานั้นไม่ได้มีการดำเนินการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตรวจสอบก็สามารถที่จะตั้งคำถามและมีการลงโทษพวกเขาได้”

ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านผู้นำได้กล่าวเตือนถึงสิ่งที่จำเป็นทางศาสนาและมนุษยธรรมที่เกี่ยวกับประเด็นที่เกิดขึ้นระหว่างการตัดสิทธิ์ผู้สมัครบางรายในการเลือกตั้ง

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “กับบางคนที่ไม่ได้รับการยืนยันคุณสมบัติถือว่าเขานั้นถูกกดขี่และฉ้อฉลต่อเขา ขณะที่พวกเขาและครอบครัวของพวกเขา ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีเกียรติอย่างยิ่ง และมีการให้ความสัมพันธ์ที่ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง ซึ่งหลังจากนั้นได้พิสูจน์แล้วว่ามีความผิดพลาดและตรงกันข้ามกับความเป็นจริง”

ท่านอยาตุลลอฮ์  คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการเผยแพร่ในกรณีเหล่านี้อย่างเสรีและไม่มีข้อจำกัดในหมู่ประชาชนและในโลกสังคมออนไลน์ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “การรักษาเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นหนึ่งในสิทธิอันสูงสุดของมนุษยชน ด้วยเหตุนี้เอง คำขอร้องของข้าพเจ้าที่มีต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กรณีต่างๆที่มีการรายงานที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่เกี่ยวกับบุตรและครอบครัวของเขา จะต้องได้รับการชดเชยและการฟื้นฟูศักดิ์ศรี”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง โปรดปกป้องพวกเราให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหง การดูหมิ่นผู้ศรัทธาและการละเมิดในหน้าที่ของพวกเรา และขอให้ท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ได้อยู่เคียงข้างกับบรรดาเอาลิยาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในวันแห่งการตัดสินใจ และขอให้เขาและบรรดาชะฮีดนั้นมีความพึงพอใจต่อพวกเรา และด้วยการกำหนดในความดีงามของประชาชาติอิหร่าน ขอพระองค์ทรงทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่เป็นการทำลายศัตรูด้วยเถิด”

 

700 /