สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

อัจฉริยะเยาวชนและผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ เข้าพบผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

สงครามจิตวิทยาของพวกนักล่าอาณานิคมคือการทำให้ประชาชาติลืมเลือนศักยภาพในประเทศ

อัจฉริยะเยาวชนและผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า เยาวชน นักอัจฉริยบุคคล คือ แก้วตาดวงใจของประชาชาติ และท่านยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการให้ความสำคัญต่อสังคมทางวิชาการและบรรดานักอัจฉริยบุคคล เพื่อแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ศักยภาพของเยาวชนทั้งหลายของประชาชาติอิหร่าน สามารถที่จะเติมเต็มช่องว่างทางวิชาการด้วยกับศาสตร์ของโลกและการก้าวผ่านพรมแดนของโลกแห่งความรู้  การสร้างอารยธรรมใหม่ของอิสลาม และการตระหนักถึงอนาคตอันสดใสให้กับประเทศชาติ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวขอบคุณต่อประเด็นที่มีประโยชน์ของบรรดานักอัจฉริยบุคคลที่ได้นำเสนอ โดยท่านผู้นำถือว่า ความเป็นนักอัจฉริยบุคคลและชนชั้นนำ คือ ของขวัญที่มีค่าและเป็นความโปรดปรานหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า และท่านผู้นำยังได้กล่าวเสริมว่า “ศักยภาพและขีดความสามารถ มิใช่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้เกิดความเป็นนักอัจฉริยบุคคล แต่พวกท่านทั้งหลาย จะต้องกล่าวขอบคุณและรู้จักถึงคุณค่าในความโปรดปรานนี้ ด้วยกับการทำงาน ความเพียรพยายามและความอุตสาหะอย่างมาก เพื่อที่จะเปลี่ยนให้ศักยภาพเหล่านี้กลายเป็นความเป็นนักอัจฉริยะต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “แน่นอนว่า การรู้จักคุณค่าและการขอบคุณต่อความโปรดปรานในความเป็นนักอัจฉริยะของบรรดาเยาวชน ก็เป็นหน้าที่ของบิดา มารดา ครูบาอาจารย์และหน่วยงานภาครัฐฯด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ประชาชาติอิหร่านนั้นมีศักยภาพในความเป็นนักอัจฉริยะ และด้วยเหตุผลนี้ จึงตกเป็นเป้าหมายในการก่อสงครามทางจิตวิทยาอันน่าอับอายของเหล่าชาติมหาอำนาจ พวกล่าอาณานิคม จอมอหังการ เพื่อที่จะทำให้ประชาชาติได้ลืมเลือนต่อศักยภาพและขีดความสามารถเหล่านี้ แม้กระทั่งปฏิเสธความสามารถเหล่านี้และยอมรับถึงความโกหกหลอกลวงครั้งใหญ่ที่กล่าวหาว่า เรานั้นไร้ซึ่งความสามารถ” 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงบันทึกความทรงจำของชวาหะร์ลาล เนห์รู จากอินเดียในความพยายามของพวกอังกฤษ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อที่จะทำลายความรู้สึกในการมีศักยภาพและขีดความสามารถ รวมทั้งการพึ่งพาตนเองในจิตใจของประชาชาติชาวอินเดียอีกด้วย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์ 200 ปี ครั้งล่าสุดของอิหร่าน เหล่าพวกนักล่าอาณานิคมและผู้ปกครองในสมัยนั้นต่างได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อด้วยเสียงอันเดียวกันว่า ประชาชาติอิหร่านนั้นไร้ความสามารถ ซึ่งหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ก็ได้ทำให้กระบวนการนี้สิ้นสุดลง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเพิกเฉยและการปล้นสะดม คือ 2 เป้าหมายที่สมบูรณ์ของพวกนักล่าอาณานิคมที่ปลูกฝังความไร้ซึ่งความสามารถในประชาชาติทั้งหลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เมื่อใดก็ตามที่ประชาชาติใด ประชาชาติหนึ่งได้เพิกเฉยต่อศักยภาพของตน ซึ่งในความเป็นจริง การเพิกเฉยนั้นเป็นบ่อเกิดของการปล้มสะดม และการปล้นสะดม ได้ทำให้ประชาชาติทั้งหลายต่างมีการเพิกเฉยต่อขีดความสามารถและศักยภาพของตนเองเพิ่มมากขึ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ยกหลักฐานจากโองการอันชัดแจ้งของอัลกุรอาน อันจำเริญยิ่ง ที่เกี่ยวกับผลกระทบของการเพิกเฉย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวเตือนในพระมหาคัมภีร์แห่งฟากฟ้าว่า ศัตรูนั้นต้องการที่จะทำให้พวกท่านทั้งหลายต้องเพิกเฉยต่ออาวุธและทรัพย์สินของพวกท่าน เพื่อที่จะโจมตีต่อพวกท่านอย่างง่ายดาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน เนื่องจากกระแสความกดดันและข้อถกเถียงในโลกที่เกี่ยวกับประเด็นโดรนและขีปนาวุธนั่นเอง”

“การมีความรู้สึกในความรับผิดชอบต่อบรรดานักอัจฉริยบุคคล” คือ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงในการพบปะกันครั้งนี้ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ด้วยเช่นกัน จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองที่มีต่อบรรดานักอัจฉริยบุคคล และเยาวชน นักอัจฉริยบุคคลทั้งหลาย ก็จะต้องมีความรู้สึกรับผิดชอบในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆของประเทศ และการต่อสู้กับอุปสรรค อีกทั้งการยอมรับต่อความยากลำบาก ซึ่งบางครั้งถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอย่าได้ให้อนุญาตกับบางหน่วยงานที่ได้กระทำการที่ไร้ความเมตตาต่อบรรดานักอัจฉริยบุคคลเป็นอันขาด และการเข้ามาขัดขวางไม่ให้พวกเขาดำเนินการตามแนวทางในความเพียรพยายามและความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพวกเขาต่อไป”

อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวต่อบรรดาเยาวชน นักอัจฉริยบุคคล ก็คือ “ความจำเป็นในการให้ความสนใจต่ออนาคตที่ได้วางแผนไว้และการตั้งเป้าหมายให้กับอิหร่านอันทรงเกียรติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวย้ำถึงคำพูดของท่านเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ที่เกี่ยวกับอนาคตของอิหร่านและความจำเป็นในการรุดหน้าในเวทีทางด้านวิทยาศาสตร์ของโลก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกเราจะต้องมีการขับเคลื่อนอย่างที่ในอนาคตของอิหร่านได้กลายเป็นศูนย์กลางของวิทยาศาสตร์ของโลก และผู้ใดก็ตามที่ต้องการที่จะค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ เขาจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ภาษาเปอร์เซีย ดั่งที่ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ ได้กำหนดให้ชาวอิหร่านเป็นจุดสุดยอดของศาสตร์และวิชาการของโลก อีกทั้งหนังสือต่างๆของนักปราชญ์ชาวอิหร่านก็ได้มีการดำเนินการจัดสอนในมหาวิทยาลัยทั้งหลายของชาติตะวันตกและชาติตะวันออก และยังเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า มีสามขั้นตอนที่จำเป็นในการบรรลุสู่อนาคตอันสดใสและน่าภาคภูมิใจ ขั้นตอนแรก : ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเติมช่องว่างในปัจจุบันด้วยระดับแนวหน้าของวิทยาศาสตร์โลก ขั้นตอนที่สอง: การก้าวข้ามพรมแดนของความรู้ของโลกและการนำเสนอการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ต่อสังคมมนุษย์ และขั้นตอนที่สาม: การสร้างอารยธรรมใหม่ของอิสลามบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ที่เป็นประโยชน์

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำว่า “หากว่าบรรดาเยาวชน นักอัจฉริยบุคคลของประเทศ ได้เล็งเห็นในวิสัยทัศน์ที่สดใสนี้ จะทำให้การขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องและปัญหาต่างๆก็จะได้รับการแก้ไข”

“ความจำเป็นในการสร้างทางวิทยาศาสตร์” เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้อธิบาย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “วันนี้ การดำเนินการต่างๆทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญก็กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งมักจะเป็นสาขาของวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นโดยผู้อื่น ในขณะที่นอกเหนือจากนี้ จะต้องมีความคิดที่สร้างสรรค์และการมีนวัตกรรมใหม่ การค้นพบกฎแห่งธรรมชาติที่ยังไม่ถูกค้นพบ และจากการผลิตทางวิทยาศาสตร์ ก็จะต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า  แกนหลักของปัญหาและแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ เป็นเป้าหมายที่สำคัญของสังคมทางวิทยาศาสตร์ของประเทศและท่านยังถือว่า ตัวอย่างของประเด็นต่างๆเหล่านี้ ดั่งเช่น ปัญหาน้ำ สิ่งแวดล้อม การจราจร ภัยสังคม การอพยพหมู่บ้าน ระบบการเงิน  ภาษี การธนาคาร และปัญหาระบบการผลิต โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เราสามารถที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศด้วยกับวิธีการแก้ไขทางวิทยาศาสตร์ได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ ในบางประเทศ ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเป็นของเอกชนก็ตาม แต่ก็ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่แบบก้อนเป็นกำ แต่ในลักษณะที่รัฐบาลได้กำหนดประเด็นให้กับมหาวิทยาลัยแก้ไข และหากว่ามหาวิทยาลัยนั้นสามารถแก้ไขประเด็นหล่านั้นได้ รัฐบาลก็จะจัดสรรงบประมาณให้”

 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า “ปัญญาประดิษฐ์” เป็นประเด็นที่สำคัญและยังเป็นการสร้างอนาคตอีกด้วย โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ปัญหานี้ถือว่ามีบทบาทในการบริหารจัดการต่ออนาคตของโลกและเราจะต้องมีการดำเนินการในลักษณะที่อิหร่านได้กลายเป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรกของของโลกทางด้านปัญญาประดิษฐ์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นการย้ายถิ่นฐานของบรรดานักอัจฉริยบุคคล โดยท่านกล่าวว่า “วันนี้ เยาวชน นักอัจฉริยบุคคล สามารถที่จะมีการพัฒนาและความก้าวหน้าในประเทศได้ แต่อย่างที่เราได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ถือว่าไม่เป็นปัญหาใดๆหากเยาวชนเหล่านี้ต่างมีความปรารถนาที่จะย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศอื่น แต่พวกเขาก็จะต้องคำนึงว่าพวกเขานั้นเป็นหนี้สินของประเทศชาติและหลังจากสำเร็จการศึกษาก็จะต้องกลับมายังประเทศของพวกเขา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “แต่ทว่าในการอพยพและความจริงที่ว่าองค์ประกอบในมหาวิทยาลัยบางแห่งได้ทำให้บรรดาเยาวชน นักอัจฉริยบุคคลต้องพบกับความหมดหวังต่ออนาคตและยังมีการสนับสนุนให้พวกเขาต้องละทิ้งมาตุภูมิของพวกเขา ถือว่าเป็นการทรยศต่อประเทศชาติและเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังไม่ได้มีความเป็นมิตรภาพกับพวกเขาเลย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงประเด็นของการขจัดอุปสรรคในการผลิต ถือว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการขจัดอุปสรรคต่างๆในประเทศ กล่าวคือ  อุปสรรคทางด้านวัฒนธรรม เช่น ความผิดหวัง ความรู้สึกถึงการไม่มีอนาคต การไร้ความพยายามและความอุตสาหะ การไม่มีความอดทน การแสวงหาความสะดวกสบาย และความบันเทิงที่เป็นอันตราย ความรู้สึกไร้ขีดความสามารถ และการไม่ยอมรับถึงความเป็นอันตราย เป็นต้น

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงอีกภาคส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่าน โดยท่านได้แสดงความพอใจในความก้าวหน้าของบริษัทฐานความรู้ โดยท่านได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มคุณภาพของบริษัทนี้ และท่านผู้นำยังตั้งข้อสังเกตว่า “จะต้องมีความระมัดระวังต่อระเบียบการของบริษัทฐานความรู้อย่างจริงจังที่สุด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึง อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศที่ยังไม่เป็นฐานความรู้ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จะต้องใช้ประโยชน์จากบริษัทฐานความรู้ และในการอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เช่น ในการผลิตรถยนต์ ก็จะต้องใช้องค์ฐานความรู้ด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจำเป็นในการพัฒนาการและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทฐานความรู้ คือ การใช้ประโยชน์จากผลผลิตในประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เมื่อเรามีผลิตภัณฑ์ที่มาจากบริษัทฐานความรู้ในประเทศ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเข้าสินค้าที่คล้ายคลึงกันมาในประเทศ ทั้งรัฐบาลและบริษัทใหญ่ก็จะต้องใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ผลิตในประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “แน่นอนว่า บางคนอ้างว่า ในประเด็นของเครื่องใช้ในครัวเรือน จะต้องไม่เป็นปัญหาที่บอกว่า ด้วยสาเหตุอันใดที่จะไม่นำเข้าจากประเทศนั้นๆ เพราะว่า เนื่องจากความจำเป็นในความก้าวหน้าของบริษัทต่างๆในประเทศ ก็คือ การสร้างตลาดในประเทศสำหรับพวกเขานั่นเอง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงผู้ผลิตทั้งหลายในประเทศ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “เมื่อมีการหยุดจากการนำเข้า นายหน้าในประเทศก็จะต้องรับผิดชอบเช่นกัน และก็อย่าได้เพิ่มราคาของผลิตภัณฑ์หรือการลดคุณภาพของสินค้านั้นจากการใช้ประโยชน์ของสถานการณ์นี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปูทางเพื่อนำไปสู่การส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทฐานความรู้ เป็นอีกภารกิจหนึ่งของหน่วยงานภาครัฐฯ โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชนในบางประเทศนั้นมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับอิหร่าน แต่พวกเขาก็ไม่มีสามารถแม้แต่จะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์อิหร่านสักสองรายการ ดังนั้น นอกจากการดำเนินการของรัฐบาลและบริษัทต่างๆเพื่อที่จะสร้างตลาด โดยภาคต่างประเทศขององค์การสื่อสารมวลชนทางวิทยุและโทรทัศน์ ก็จะต้องมีการวางแบบแผนและการดำเนินการในการส่งเสริมสินค้าอิหร่านอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงรายงานของท่านรองประธานาธิบดี ฝ่ายวิทยาศาสตร์ บนพื้นฐานที่ว่าหุ้นส่วนของบริษัทฐานความรู้มีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “หุ้นส่วนนี้ก็จะต้องเพิ่มมากขึ้นและไปให้ถึงอย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 3 ถึง 4 ปีให้ได้”

ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บรรดานักอัจฉริยบุคคล คือ ผู้ที่สร้างอนาคตและเป็นแก้วตาดวงใจของประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าเคยกล่าวเตือนกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในรัฐบาลชุดก่อนๆและในรัฐบาลชุดปัจจุบันในการใช้ประโยชน์จากบรรดาเยาวชน นักอัจฉริยบุคคลในการบริหารจัดการในระดับกลาง และแม้แต่ในระดับสูง แต่พวกท่านทั้งหลาย จะต้องเตรียมพร้อมในการแสดงบทบาทของพวกท่านในการบริหารประเทศ”

ก่อนจากการกล่าวคำปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ดร.ซัตตารี รองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของนวัตกรรมใหม่ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการเผชิญหน้ากับความเป็นปรปักษ์ทั้งหลาย โดยเขากล่าวว่า “ในการเผชิญหน้ากับมาตรการคว่ำบาตร ที่ใดก็ตามที่จำนวนของบริษัทฐานความรู้ในประเทศนั้นมีมากขึ้น เราก็จะเอาชนะเหนือปัญหาต่างๆได้”

นอกเหนือจากนี้ ในการพบปะกันครั้งนี้ บรรดานักอัจฉริยบุคคล 6 คน ยังได้กล่าวแสดงความคิดเห็นของพวกเขา

สุภาพบุรุษ:

- มูฮัมหมัด อะมีนี ระอ์ยา ด็อกเตอร์ด้านการบริหารจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม

-มูฮัมหมัด ริซา กันญ์ ดานิช นักศึกษาแพทย์ศาสตร์และผู้ชนะเลิศเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกทางวิชาการในระดับนักศึกษา

- เมห์ดี ชาริฟซาเดห์ ปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเคมี

-จาวาด อาซาดี นักวิจัยด้านไซเบอร์สเปซ

และสุภาพสตรี:

- ราซาน ชะฮารโดลี นักเคลื่อนไหวและนักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์

-ฟาอิเซะห์ ฟะดาคาร ครูและผู้ชนะเลิศเหรียญเงินในการแข่งขันโอลิมปิกแห่งวิชาการในระดับประเทศ 

พวกเขาได้นำเสนอในประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้ 

- การปรับปรุงการเกิดช่องว่างจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ

- การนำกลไกอัจฉริยะมาใช้ในการตรวจสอบและการปฏิบัติตามนโยบายทั่วไปของระบบ

- ความจำเป็นในการส่งเสริมด้านวัฒนธรรมขององค์กรและการให้คุณค่ากับรางวัลแห่งชาติทางด้านวัฒนธรรมขององค์กร

- การเพิ่มความร่วมมือของกองทัพบกโดยร่วมกับสาธารณสุขในการใช้ประโยชน์จากทหารแพทย์ให้มากขึ้น

- ความสำคัญของความปลอดภัยของเด็กในโลกไซเบอร์และการหาแนวทางในการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์

-ความจำเป็นการช่วยเหลือทางด้านพลังงานจากภาคส่วนที่ไม่ก่อให้มีผลผลิตไปยังภาคผลิต

-ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงกลไกของการอบรมครูที่เหมาะสมกับการอบรมมนุษย์ในระดับการปฏิวัติอิสลาม

-การเสาะหาแนวทางในการแก้ไขในปรากฏการณ์ที่บรรดานักอัจฉริยบุคคลหนีห่างออกจากสถาบันการศึกษาไปสู่สถาบันทางการพาณิชย์

-ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงของรองประธานาธิบดีฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการจัดอันดับใหม่

-การป้องกันอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัล โดยปราศจากการสร้างขีดความสามารถภายใน

700 /