สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

นักเรียนหลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

“ประชาชาติอิหร่านตบหน้ายังผู้หวังร้าย และทำให้พวกเขาพบกับความล้มเหลว”

นักเรียนหลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องวโรกาสช่วงวันที่ 13 ของเดือนอาบาน (4 พฤศจิกายน)  ซึ่งถือเป็น วันต่อต้านมหาอำนาจโลกแห่งชาติ โดยท่านผู้นำถือว่า เป็นวันแห่งการสำแดงถึงความชั่วร้ายของอเมริกาและความอ่อนแอ อีกทั้งความเป็นไปได้ที่จะต้องพบกับความล้มเหลว และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นว่า การพูดจาโกหกที่ไร้ยางอายของพวกสหรัฐฯที่มีต่อการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ในสงครามแบบผสม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกา รัฐเถื่อนไซออนิสต์ และบางประเทศมหาอำนาจยุโรปที่ร้ายกาจ และบางกลุ่มที่ต่อต้านรัฐอิสลาม ได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นกับประชาชาติอิหร่าน แต่ประชาชาติอิหร่านนั้นได้ตบใบหน้าของเหล่าผู้ที่ไม่หวังดีและทำให้พวกเหล่านี้พบกับความล้มเหลว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันที่ 13 เดือนอาบาน เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์และควรนำมาเป็นบทเรียน โดยท่านกล่าวว่า “พวกสหรัฐฯและเหล่าผู้ที่คลั่งไคล้อเมริกาต่างรู้สึกโกรธเคืองในวันสำคัญนี้และการรวมตัวโดยมีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกันและความเป็นเอกภาพ เพราะวันนี้นั้น เป็นวันที่สำแดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายของพวกอเมริกาและความอ่อนแอ ทั้งความเป็นไปได้ที่จะพบกับความล้มเหลว

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เปิดเผย จากการปราศรัยของท่านเกี่ยวกับการทบทวนเหตุการณ์ต่างๆทางประวัติศาสตร์ในวันที่ 13 เดือนอาบาน โดยท่านได้ชี้ถึงการเนรเทศของท่านอิมามโคมัยนี ในวันที่ 13 เดือนอาบาน 1343 โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมาม ไม่สามารถที่จะอดทนได้ในข้อกฏหมายที่อนุมัติว่า พวกสหรัฐฯหลายหมื่นคนที่อาศัยอยู่ในอิหร่านสามารถได้รับการคุ้มครองเหนือกฏหมายทางคดีอาญาและอาชญากรรม ซึ่งนี่เป็นคำสั่งของมูฮัมหมัด ชาห์ปาห์เลวี ด้วยเหตุผลนี้เอง ท่านอิมามจึงถูกสั่งเนรเทศให้ออกจากประเทศ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการสังหารหมู่นักเรียนจำนวนหนึ่ง ที่หน้ามหาวิทยาลัยกรุงเตหะราน เมื่อวันที่ 13 เดือนอาบาน 1357 (ปฏิทินอิหร่าน) และการบุกสถานทูตอเมริกาของนักศึกษา ในวันที่ 13 อาบาน  1358 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในการบุกสถานทูตครั้งนั้น ได้พบเอกสารเกี่ยวกับการทรยศ การแทรกแซง และการปล้นทรัพยากรของอิหร่านเป็นจำนวนมาก ตลอดจนแผนการสมรู้ร่วมคิดต่างๆของพวกเหล่านั้น เพื่อต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม แม้ว่าจะมีการเน้นย้ำให้มีการบรรจุเนื้อหาดังกล่าว ลงในหลักสูตรการเรียนการสอนก็ตาม แต่ช่างน่าเสียดายอย่างยิ่งที่ยังไม่ได้มีการดำเนินการนี้แต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนกรานของพวกสหรัฐฯที่ว่า การเริ่มต้นความตึงเครียดระหว่างประชาชาติอิหร่านกับอเมริกา เกิดขึ้นจากการโจมตีรังสอดแนมนั้น เป็นเรื่องที่โกหก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความตึงเครียดนี้ได้เริ่มต้นในวันที่ 28 เดือนมุรดาด 1332 เนื่องจากสหรัฐฯได้ให้การช่วยเหลืออังกฤษในการโค่นล้มรัฐบาลของ ดร.มุศัดดิก ด้วยการก่อรัฐประหารที่น่าละอายใจอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ดร.มุศัดดิก เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ดีและเป็นที่ไว้วางใจของสหรัฐฯ โดยท่านกล่าวว่า “เขานั้นไม่ได้เป็นฮุจญตุลอิสลามและไม่ได้เรียกร้องอิสลาม แต่ความผิดของเขาก็เพียงแค่บอกว่า น้ำมันของอิหร่านต้องอยู่ในมือของประชาชาติอิหร่าน ไม่ใช่พวกอังกฤษ แต่พวกอเมริกาด้วยการยึดถือผลประโยชน์ของตน แม้แต่กับบุคคลเช่นนี้ก็ไม่อาจที่จะอดทนต่อไปได้อีกเช่นกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับความคาดหวังของมุศัดดิก เพื่อที่จะช่วยเหลือของอเมริกา แต่พวกเหล่านั้นได้แทงข้างหลังเขาและโค่นล้มเขาด้วยการใช้จ่ายเงินและความช่วยเหลือจากผู้ทรยศและเหล่าพวกอันธพาล”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า คำพูดของนักการเมืองสหรัฐฯในหลายวันที่ผ่านมานี้ เกี่ยวกับการสนับสนุนประชาชาติอิหร่านนั้น เป็นจุดสูงสุดของความไร้ยางอายและการแสดงความโอ้อวด พร้อมกันนั้น ท่านผู้นำยังได้ตั้งคำถามกับพวกเขาว่า “ในช่วง 4 ทศวรรษนี้ มีการกระทำใดบ้างหรือที่ต่อต้านประชาชาติอิหร่านที่พวกคุณสามารถกระทำได้ แต่ยังไม่ได้กระทำ?  หากพวกคุณไม่ได้กระทำการใดเลย เช่น การทำสงครามทางทหารโดยตรง หรือว่าพวกคุณนั้นไม่มีความสามารถหรือว่าพวกคุณมีความหวาดกลัวเยาวชนชาวอิหร่าน”


ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวทบทวนอาชญากรรมต่างๆและแผนการร้ายของสหรัฐ หลังชัยชนะการปฏิวัติอิสลาม ด้วยการสนับสนุนของวอชิงตันที่มีต่อกลุ่มเรียกร้องให้มีการแบ่งแยกดินแดน ในช่วงแรกๆของการปฏิวัติอิสลาม การก่อรัฐประหารในฐานทัพชะฮีด โนเจห์ เมืองฮะมะดาน การสนับสนุนการก่อการร้ายอย่างมืดบอดต่อกลุ่มมุนาฟิก จนทำให้มีประชาชนเป็นชะฮีดหลายแสนคนทั่วทั้งประเทศ การสนับสนุนทุกด้านต่อซัดดามในสงครามแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ การโจมตีด้วยขีปนาวุธและการยิงเครื่องบินพาณิชย์ในน่านฟ้าอิหร่านตก และการเป็นชะฮีดของผู้โดยสารเครื่องบินลำดังกล่าวถึง 300 คน และความไร้ยางอายในการเทอดเกียรติต่อผู้บัญชาการเรือของสหรัฐที่สั่งให้มีการยิงเครื่องบินพาณิชย์ตก การคว่ำบาตรประชาชาติอิหร่าน ตั้งแต่ปีแรกแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม การกำหนดมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และการสนับสนุนให้เกิดความโกลาหลและการก่อความไม่สงบในอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ในช่วงปี 1388 (ปฏิทินอิหร่าน) ขณะที่โอบามาเขียนจดหมายแห่งมิตรภาพถึงเรา แต่พวกสหรัฐฯกลับให้การสนับสนุนต่อกลุ่มผู้ที่ก่อความไม่สงบ เพื่อที่จะทำลายสาธารณรัฐอิสลามได้ด้วยวิธีการนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสังหารวีรบุรุษแห่งชาติของชาวอิหร่านและวีรบุรุษของภูมิภาคตะวันออกกลาง ชะฮีดนายพลกอเซ็ม สุไลมานี เป็นความภาคภูมิใจในการก่ออาชญากรรมนี้ของพวกสหรัฐฯ ท่ามกลางแผนการสมรู้ร่วมคิดและความสกปรกโสมมอื่นๆ โดยท่านผู้นำได้กล่าวกับพวกเหล่านี้ว่า “พวกคุณได้สนับสนุนเหล่าอาชญากรที่สังหารบรรดานักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของเรา หมายถึง พวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และการอายัดทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านพันล้านดอลลาร์ของอิหร่านในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ทั้งยังกีดกันประชาชาติอิหร่านไม่ให้ใช้ทรัพย์สินของพวกเขาในการลดปัญหาต่างๆอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในส่วนมากของเหตุการณ์ต่างๆที่ต่อต้านอิหร่านนั้นมีรอยเท้าของพวกคุณอย่างชัดเจน ในเวลานั้น พวกคุณพูดเท็จด้วยความน่ารังเกียจและอ้างว่าเรานั้นมีความเห็นอกเห็นใจประชาชาติอิหร่าน?” แน่นอนว่า เพราะว่าความมืดบอดของพวกคุณ ประชาชาติอิหร่านจึงได้ทำลายความเป็นปฏิปักษ์เหล่านี้ไปอย่างมากมาย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “แน่นอนว่า เรานั้นไม่เคยลืมบางเหตุการณ์และเราจะไม่ลืมเหตุการณ์เหล่านั้น ทั้งเรายังยืนหยัดในสิ่งที่เรากล่าวถึงการลอบสังหารของนายพลสุไลมานี และก็จะมีการดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม”

ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สหรัฐในวันนี้ ก็เหมือนกับสหรัฐในวันเมื่อวาน และสหรัฐในวันที่ 28 เดือนมุรดาด รวมทั้งสหรัฐที่เป็นผู้สนับสนุนซัดดัม โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่าวิธีการเป็นปฏิปักษ์ในอดีตของพวกเหล่านี้มีความแตกต่างและมีความซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น แต่เรานั้นเชื่อมั่นในเยาวชนของเราและบรรดาเจ้าหน้าที่ของตนเอง และเราทราบว่าพวกเขาสามารถที่กระทำได้ เพื่อที่จะเอาชนะเหนือวิธีการที่ซับซ้อนเหล่านี้ และเราก็จะต้องมีความชาญฉลาดอย่างเต็มที่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างสหรัฐในวันเมื่อวานและสหรัฐในวันนี้ คือ ความเห็นพ้องต้องกันของนักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายคนในโลกบนพื้นฐานที่ว่า สหรัฐกำลังอยู่ในกระบวนการของการล่มสลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สัญญาณของการล่มสลายได้ประจักษ์ชัด ซึ่งเห็นได้จากปัญหาภายในประเทศของสหรัฐ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ศีลธรรม และความแตกแยก ทั้งการมีสองขั้วอำนาจที่ห้ำหั่นกันในประเทศสหรัฐฯ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อีกสัญญาณประการหนึ่งของการล่มสลายของสหรัฐฯ คือ การคิดคำนวณที่ผิดพลาดของพวกสหรัฐฯในปัญหาต่างๆของโลก โดยท่านกล่าวว่า “ตัวอย่างของการคำนวณที่ผิดพลาดนี้ คือ การโจมตีของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพื่อกำจัดกลุ่มตอลิบาน ด้วยการก่ออาชญากรรมและการสังหารต่างๆมากมาย แต่หลังจาก 20 ปีผ่านไป เนื่องจากความไม่เข้าใจถึงปัญหาต่างๆ พวกสหรัฐฯจึงจำเป็นที่จะต้องออกจากอัฟกานิสถานและส่งมอบประเทศให้กับกลุ่มตอลิบาน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การโจมตีอิรักและความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความผิดพลาดในการคิดคำนวณของพวกสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในช่วงเริ่มต้น พวกสหรัฐฯได้เสาะหาชาวสหรัฐและผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับตน ทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันของอิรักและการเข้าร่วมของนักการเมืองชาวอิรักในการทำงานหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเหล่านี้นั้นไม่ต้องการให้เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง แต่ทว่า พวกเหล่านี้ก็พบกับความล้มเหลวในที่นี่ด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความล้มเหลวของสหรัฐในซีเรียและเลบานอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นล่าสุดของการกำหนดท่อส่งก๊าซ เป็นอีกตัวอย่างประการหนึ่งของความล้มเหลวอันเนื่องมาจากความผิดพลาดในการคิดคำนวณ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “อีกสัญญาณหนึ่งของความล่มสลายของสหรัฐ คือ การลงคะแนนเสียงของประชาชนให้กับบุคคล เช่น ประธานาธิบดีคนปัจจุบันและคนก่อน ในช่วงก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีอย่างทรัมป์ก็ได้รับเลือก ที่ใครๆ ก็มองว่าเขานั้นเป็นคนเสียสติ และในยุคปัจจุบัน ประธานาธิบดีที่เข้ามาบริหารงาน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีเกี่ยวกับอาการของเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กรณีเหล่านี้ เป็นต้นเหตุของความเสื่อมโทรมทางอารยธรรม และท่านได้เน้นย้ำให้เห็นว่า มหาอำนาจชาติตะวันตกจำนวนมากมีความคล้ายคลึงกับสหรัฐในแง่นี้โดยท่านกล่าวว่า “ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม ความเลวทราม และอาชญากรรม ที่สูงยิ่งกว่านี้คือ พวกตะวันตกได้มีการสอนให้มีการทำลายล้าง การก่อความไม่สงบและการผลิตระเบิดขวดและระเบิดมือในสื่อของพวกเขา ใช่หรือไม่?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่ชัดเจนของสหรัฐในการก่อความไม่สงบเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การออกแถลงการณ์ร่วมกันของกระทรวงข่าวกรองและองค์การข่าวกรองของกองทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม IRGC เกี่ยวกับการก่อความไม่สงบว่า มีข้อมูลและการค้นพบสิ่งที่สำคัญและแสดงให้เห็นว่าศัตรูนั้นได้วางแผนสำหรับกรุงเตหะราน รวมทั้งเมืองใหญ่และเมืองเล็ก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมของยุวชนและเยาวชนคนหนุ่มสาวบางคนในการก่อจลาจล นั้นเป็นประเด็นหลัก โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกต “พวกเขาเหล่านี้ คือ บุตรหลานของพวกเราและเราไม่มีข้อโต้แย้งกับพวกเขา เพราะพวกเขาเข้ามาในสนาม เนื่องจากความตื่นเต้นและการมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างและความประมาทในบางเรื่อง แต่สิ่งที่สำคัญคือ เหล่าผู้จัดการหลักที่เข้ามาพร้อมกับการออกแบบและวางแผนการต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทางการเมืองและเศรษฐกิจ และประชาชนทุกคน โดยเฉพาะบรรดาเยาวชน ให้มีความสนใจเป็นพิเศษและชาญฉลาดกับผู้จัดการหลัก ตลอดจนการออกแบบและการวางแผนการต่างๆ โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า หน่วยข่าวกรองต่างให้ความสนใจในประเด็นนี้และมีความชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง การออกแบบและการวางแผนการ ซึ่งพวกเขาสามารถที่จะกระทำการบางอย่าง เพื่อให้ประชาชาติอิหร่านนั้นมีความเชื่อเดียวกับเหล่าผู้นำของอังกฤษและสหรัฐ และนำประชาชาติไปพร้อมกับพวกเขา แต่ประชาชาติอิหร่านได้ต่อยเข้าที่ปากพวกเหล่านั้นและหลังจากนี้ก็จะต่อยอยู่ต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เหล่าผู้ที่เข้าร่วมด้วยการออกแบบและการวางแผนการ ทั้งมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรต่างประเทศและการก่ออาชญากรรม นี่เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างมากที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นชาห์เชรอฆและการสังหารประชาชนและเด็กๆ เป็นอาชญากรรมที่ใหญ่อย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวว่า “เด็กนักเรียนชายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ พวกเขากระทำความผิดอะไรหรือ? เด็กชายที่สูญเสียพ่อแม่และน้องชายของเขาในอาชญากรรมครั้งนี้ และได้รับความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ เขากระทำความผิดอะไรหรือ?นักเรียนศาสนาเยาวชนที่มีความเคร่งครัดต่อศาสนาและพระเจ้า อาร์มาน ที่มีเกียรติยิ่ง ซึ่งเขาเสียชีวิตภายใต้การทรมานในกรุงเตหะรานและศพของเขาถูกทิ้งไว้ที่ท้องถนน เขานั้นกระทำความผิดอะไรหรือ?

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เหล่าผู้ที่ก่ออาชญากรรมเหล่านี้ คือใครหรือ? และพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากที่ไหน? แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เด็กและบรรดาเยาวชนของเราอย่างแน่นอน ผู้กระทำความผิดในอาชญากรรมเหล่านี้ จะต้องมีการระบุตัว และผู้ใดก็ตามที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ พวกเขาก็จะต้องถูกลงโทษโดยที่ไม่ต้องสงสัยใดๆเลย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความนิ่งเงียบของเหล่าผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับอาชญากรรมเหล่านี้ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมพวกเหล่านี้ไม่มีการประณามเหตุการณ์ที่ชีรอซ ขณะที่เหตุการณ์หนึ่งที่ไม่ตรงกับความจริงและเป็นเท็จ กลับมีการเน้นย้ำเป็นพันๆครั้งในอินเทอร์เน็ต แต่ชื่อของอัรชามกลับถูกต้องห้าม แล้วเหล่าผู้ที่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน พวกเขาคือผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงยุวชนและบรรดาเยาวชน โดยท่านกล่าวว่า “ยุวชนและเยาวชนของวันนี้นั้นมีความแตกต่างกับยุวชนและเยาวชนในอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าพวกเขาเป็นองค์ประกอบที่มีความเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะ มีสติปัญญา ชาญฉลาด มีวิสัยทัศน์และมีการวิเคราะห์ และนี่คือสิ่งที่ได้รับจากเกียรติของการปฏิวัติอิสลาม เพราะว่า ก่อนการปฏิวัติอิสลาม บรรดาเยาวชนได้สาละวนยุ่งอยู่กับการงานที่ไร้สาระและมีปัญหาราคะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ความสนใจต่อปัญหาหลักของประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “นี่คือ ความจริงที่อยู่ในปัญญาของยุวชนและเยาวชนของวันนี้ ทั้งศัตรูก็ตระหนักดีถึงการเป็นนักวิเคราะห์และมีความคิดนี้ของพวกเขาด้วยเช่นกัน และสำหรับการเผชิญหน้ากับพวกเขา จึงได้มีการผลิตและการสร้างเนื้อหาเท็จ จำนวนมากและมีการกล่าวซ้ำผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาเท็จจำนวนมาก ทั้งการดูหมิ่น และคำพูดที่บิดเบือนโดยมีการจัดเตรียมเพื่อป้อนให้กับบรรดาเยาวชน โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้เน้นย้ำหลายต่อหลายครั้งมาแล้ว เกี่ยวกับความจำเป็นในการทำญิฮาด ตับยีน (การต่อสู้ในการอธิบายและการแสดงออก) และก่อนที่ศัตรูจะผลิตเนื้อหาเท็จและบิดเบือน ควรที่จะผลิตเนื้อหาที่ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงเสียก่อน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่สื่อและการติดต่อสื่อสารว่า ให้พวกท่านทั้งหลายมีความรู้สึกรับผิดชอบในด้านการผลิตเนื้อหา การญิฮาด ตับยีน และการวางแบบแผน ทั้งพวกท่านก็จงมีความเข้าใจด้วยว่า ทำไมศัตรูจึงรู้สึกอ่อนไหวต่อบางคำพูดหรือบางชื่อและจะต้องจัดการกับมันเสีย”

ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้เชิญชวนให้บรรดาเยาวชนรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการเผชิญหน้ากับการทิ้งระเบิดใส่ความคิดของคนหนุ่มสาวชาวอิหร่าน เป็นจำนวนมากและบ่อยครั้งด้วยการโกหก โดยท่านกล่าวว่า “พวกท่านจะต้องมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อแผนการร้ายนี้ของศัตรูและจะต้องพยายามแยกแยะความจริงและคำพูดที่ถูกต้องออกจากการโกหกหลอกลวง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บุคคลที่พวกเขาไม่แสดงถึงความเป็นศัตรู แต่เนื่องจากการเพิกเฉยหรือมีการเข้าใจผิดและได้ยินข้อมูลเท็จในสื่อต่างๆ จนเป็นเสียงเดียวกับศัตรู พวกท่านก็จงแนะนำและมีความระมัดระวังพวกเขาโดยปราศจากการทะเลาะวิวาท และด้วยการเขียน การส่งสาร และการใช้เหตุผลกับพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์เมื่อช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสงครามแบบผสม ไม่ใช่แค่เพียงการก่อจลาจลตามท้องถนนเท่านั้น และท่านยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า  ถือว่า ศัตรูคืออเมริกา ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ บางประเทศชาติมหาอำนาจยุโรปที่ร้ายกาจและชั่วร้าย และบางกลุ่มที่ต่อต้านอิหร่าน ได้ลงสู่สนามอย่างเต็มกำลังและมีการใช้หน่วยข่าวกรอง สื่อ และศักยภาพทางสื่อออนไลน์ ทั้งการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอิหร่าน และความพยายามของบางประเทศเพื่อสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ประเทศชาติด้วยความหมายแท้จริงได้ต่อยปากของเหล่าผู้ที่ไม่หวังดีและทำให้พวกเหล่านี้ได้พบกับความล้มเหลวอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในระเบียบโลกและกระบวนการของการจัดระเบียบใหม่ของโลก โดยท่านผู้นำได้ให้คำแนะนำกับบรรดาเยาวชนให้รู้จักบทบาทและสถานภาพของอิหร่านและชาวอิหร่านในระเบียบโลกใหม่ โดยท่านกล่าวว่า “มิติของระเบียบใหม่ และวิธีการต่างๆของมันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เรานั้นสามารถวางเส้นทางพื้นฐานได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เส้นทางพื้นฐานแรกของการจัดระเบียบโลกใหม่ คือ ความโดดเดี่ยวของสหรัฐฯ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตรงกันข้ามกับในอดีตที่ผ่านมา ที่พวกสหรัฐอ้างว่ามีอำนาจเพียงคนเดียวในการเป็นมหาอำนาจโลก แต่ในระเบียบโลกใหม่ สหรัฐฯไม่มีสถานภาพใดๆทั้งสิ้น และจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว และจะต้องเก็บมือ เก็บเท้าของตนในทุกพื้นที่ต่างๆของโลกอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสโลแกนของนักเรียนทั้งหลายที่ว่า อเมริกา จงพินาศ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บางคนบอกว่าอย่าได้พูดสโลแกนนี้ เพราะว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจต่อความเป็นปฏิปักษ์ของชาวอเมริกา ในขณะที่ชาวอเมริกานั้นเริ่มเป็นปฏิปักษ์กับประชาชาติอิหร่าน เมื่อวันที่ 28 เดือนมุรดาด 1332 ในขณะที่ ในสมัยนั้นไม่มีผู้ใดในอิหร่าน เขาไม่ได้บอกว่า อเมริกา จงพินาศ แน่นอนว่า หลังจากนั้น บรรดานักศึกษาก็บอกว่า อเมริกา จงพินาศ ในวันที่ 16 เดือนอาซัร ในปีนั้น ที่มหาวิทยาลัยกรุงเตหะราน และสโลแกนนี้ คือ ความทรงจำของวันที่ 16 ของเดือนอาซัรนั่นเอง”

เส้นทางที่สองและที่สามของการจัดระเบียบโลกใหม่ที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง คือ  “การถ่ายโอนอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์จากตะวันตกไปยังเอเชีย” และ “การขยายตรรกะและการจัดตั้งกลุ่มแห่งการยืนหยัดและการต่อสู้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นผู้ริเริ่มการขยายความคิดและการจัดตั้งกลุ่มแห่งการยืนหยัดและการต่อสู้ ในการเผชิญหน้ากับการกดขี่ของมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านกล่าวว่า “บุคคลแรกที่กล่าวว่า ไม่ว่าตะวันออกและไม่มีตะวันตก คือ ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)  ผู้สูงส่งของเราและการมีจิตวิญญาณนี้และคำพูดที่มั่นคงในวันนี้ ได้แพร่กระจายไปอย่างมากในภูมิภาคของเรา จนหลายคนมีความเชื่อและปฏิบัติตามตรรกะของการยืนหยัด และได้ข้อสรุปจากเรื่องนี้ เช่น ผลลัพธ์ล่าสุดและผลประโยชน์ที่ชาวเลบานอนได้รับจากเกียรติของฮิซบุลลอฮ์ในกรณีท่อส่งก๊าซ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งคำถามที่ว่า ในโลกใหม่นี้ อิหร่านจะกระทำอะไรหรือและอยู่ในสถานภาพใดหรือ? โดยท่านผู้นำยังได้เชิญชวนให้บรรดาเยาวชนนั้นใช้ความคิดเกี่ยวกับคำถามนี้และการเตรียมพร้อมตนเองสำหรับโลกใหม่ โดยท่านกล่าวว่า “อิหร่านที่มีเกียรติ เนื่องจากมีลักษณะที่โดดเด่น เช่น กองกำลังมนุษย์ที่มีความฉลาดหลักแหลมและมีศักยภาพ  มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย เป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อ่อนไหวและโดดเด่น และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมีตรรกะอันสูงส่งของการปกครองและมีอารยธรรม ซึ่งสามารถทำให้อิหร่านได้รับสถานภาพที่โดดเด่นในการจัดระเบียบใหม่ของโลก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของอิหร่านและกลายเป็นเส้นทางคมนาคมที่ก้าวหน้าและดีอย่างมากนั้น ต้องอาศัยการขยายเส้นทางรถไฟ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แม้นว่าจะมีการเน้นย้ำประเด็นนี้หลายครั้งมาแล้ว ทั้งในรัฐบาลต่างๆ ยกเว้นในช่วงเวลาแห่งการอสัญกรรมของท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง ก็ได้มีการดำเนินการต่างๆแต่มีการละเลย และแน่นอนเป็นอย่างยิ่ง ในรัฐบาลชุดนี้ก็มีการตัดสินใจที่จะดำเนินการต่างๆอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ข้อได้เปรียบที่สำคัญของสาธารณรัฐอิสลามและตรรกะในการปกครองและการมีอารยะธรรม คือ การรวมตัวของการเข้าร่วมและการลงคะแนนเสียงของประชาชนด้วยความรู้แห่งพระเจ้า โดยท่านกล่าวว่า “การงานนี้ถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดาย แต่ทว่าสาธารณรัฐอิสลามก็ประสบความสำเร็จในการกระทำ แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องที่เรานั้นทราบดี แต่คำพูดนี้และการมีตรรกะ จะเกิดขึ้นในโลกใหม่นี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ผลของความชาญฉลาดและศักยภาพของเยาวชนทั้งหลายในยุคทศวรรษที่ 60 และ 70 ประจักษ์ต่อหน้าต่อตาของทุกคน โดยท่านกล่าวว่า “ในอนาคตนี้ ทุกคน จะได้เห็นเกียรติยศของพวกท่าน ชาวทศวรรษที่ 80 และบรรดาผู้ที่ถือกำเนิดในทศวรรษที่ 90 ด้วยเช่นกัน”

ในช่วงท้ายของการปราศรัยจากการพบปะกับบรรดานักเรียนหลายร้อยคน ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงประเด็นที่สำคัญ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ทั้งหลายและประชาชนทุกคน พวกเราจะต้องมีความระมัดระวังว่า การส่งสารไปยังต่างประเทศ จากทุกการเคลื่อนไหว การกระทำใดก็ตาม หรือคำพูดใดของตนนั้น คืออะไร

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ ประชาชาติ เยาวชน และบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ จะต้องแสดงพลังการยืนหยัด การต่อสู้และความมุ่งมั่นจากการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้กดขี่ ให้เกิดขึ้นทั่วโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกิดขึ้นกับเหล่าศัตรูด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “รัฐบาลนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบอย่างหนักหน่วงในประเด็นนี้ และไม่ควรให้เกิดความล้มเหลวซ้ำเหมือนในอดีตที่ผ่านมา และหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ วิทยาศาสตร์ สาธารณสุข กระทรวงการชี้นำ กระทรวงด้านเศรษฐกิจ และรองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์ จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงจัง”

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “เรานั้นเชื่อมั่นว่า หากว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่อยู่ในสถานที่ใดก็ตาม เมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่และมีความรับผิดชอบ เจาก็จะรู้จักหน้าที่ของเขาและจะปฏิบัติตามหน้าที่นั้น ทั้งปัญหาต่างๆทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไขและประเทศ ประชาชาติก็จะบรรลุสู่ความปรารถนาสุดท้ายของตนอีกด้วย”

 

700 /