สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

สุนทโรวาทของท่านผู้นำสูงสุด

วโรกาสคล้ายวันประสูติของท่านศาสดา(ซล)และอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก(อ)

เนื่องในวโรกาสคล้ายวันประสูติของศาสดาแห่งอิสลาม บุรุษผู้พลิกประวัติศาสตร์ และวันประสูติที่มีความบารอกัตของท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก() บรรดาคณะรัฐบาล อาคันตุกะ แขกผู้มีเกียติเข้าร่วมประชุมสัมมนาเอกภาพอิสลาม และพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่ง ได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม โดย ฯพณฯ ได้เรียกร้องโลกอิสลามให้ขานรับแนวทางของท่านศาสดาเพื่อให้บรรลุซึ่งความหวังของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ในวันนี้ เอกภาพ คือ ประเด็นสำคัญที่สุดของโลกอิสลาม แม้นว่าจะมีกลอุบาย การใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนานา ซึ่งอนาคตของประชาชาติอิสลาม ย่อมมีความสดใสและรุ่งโรจน์ หากอยู่ภายใต้ “เอกภาพ ความเข้าใจรอบรู้และการตื่นตัวอิสลาม”



ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ คือ ท่านนบีมุฮัมมัด อัลมุศฏอฟา(ซล) และวันประสูติที่มีความบารอกัตของท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก() โดย ฯพณฯ ได้ชี้ถึง “เสรีภาพในการจินตนาการและภาพลวงตา” และ “ อิสรภาพจากการถูกกดขี่ ความอธรรมของการปกครองแบบเผด็จการและการสถาปนารัฐที่ยุติธรรม” ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักของอิสลามในการปลดปล่อยมนุษยชาติ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ประเทศมุสลิมควรสร้างเสรีภาพภายในและทางปัญญาและมุ่งมั่นที่จะบรรลุ ซึ่ง “ความเป็นอิสระทางการเมือง จัดตั้งรัฐประชาธิปไตย การจัดตั้งประชาธิปไตยทางศาสนา และขับเคลื่อนบนพื้นฐานของหลักชะรีอัตของศาสนาอิสลาม" เพื่อจะได้รับอิสรภาพที่แท้จริงตามหลักการอิสลามอันสูงส่ง


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า กลอุบายและการขับเคลื่อนต่างๆของศัตรูอิสลามเพื่อสกัดกั้นอิสรภาพที่แท้จริงและความผาสุกของประชาชาติอิสลาม นั้น มันมีความสลับซับซ้อนและหลายมิติ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า การสร้างความขัดแย้งระหว่างพี่น้องชาวมุสลิม คือนโยบายหลักของกลอุบายของมหาอำนาจ


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า 65 ปีแห่งความพยายามเพื่อให้ลืมเรื่องราวปาเลสไตน์ การบีบบังคับให้ประชาชาติมุสลิมยอมรับการมีอยู่ของรัฐเถื่อนยิวไซออนิสต์ ผู้ก่ออาชญากรรมที่ป่าเถื่อน และปล้นสะดม เป็นกรณีตัวอย่างในความพยายามของมหาอำนาจอเมริกาและมหาอำนาจโลก พร้อมกับกล่าวย้ำว่า สงคราม33 วัน ในเลบานอน สงคราม 22 วัน และสงครามแปดวันในกาซ่า ได้บ่งชี้ ว่า นอกเหนือจากรัฐบาลบางประเทศที่ออกมาปกป้องผลประโยชน์ของต่างชาติ ก็ยังมีประชาชาติอิสลามที่มีความเฉลียวฉลาด รอบรู้ อัตลักษณ์ สามารถปกป้องและพิทักษ์การมีอยู่ของปาเลสไตน์ พร้อมกับได้ตบหน้ายิวไซออนิสต์และบรรดาผู้สนับสนุนอย่างสาสม


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้แสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นโลกอิสลาม ว่า การทำให้ประชาชาติอิสลามเพิกเฉยในประเด็นปาเลสไตน์ ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่สำคัญของศัตรูอิสลามในการสร้างสงครามภายใน ปลุกปั่นสร้างความแตกแยกและส่งเสริมความคิดอุดมการณ์แห่งตักฟีรีและความคิดนิยมสุดโต่ง

ท่านผู้นำสูงสุด ได้แสดงความสลดใจอย่างสุดซึ้ง ว่า พวกตักฟีรีจำนวนหนึ่ง แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่ระบอบอันชั่วร้ายแห่งไซออนิสต์ แต่กลับอาศัยชื่อของอิสลามและชะรีอัต ในการกล่าวหาชาวมุสลิมส่วนใหญ่ว่าเป็นผู้ปฏิเสธ กาฟิร และกลายเป็นต้นเหตุของสงคราม ความรุนแรงและความแตกแยก และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง การมีอยู่ของกลุ่มตักฟีรี จึงเป็นข่าวดีสำหรับเหล่าศัตรูของอิสลาม


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงโองการอัลกุรอานที่ว่า

اَشدّاء علیَ الکُفّارِ رُحَماء بَینَهُم

(ความว่า มุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์และบรรดาผู้ที่อยู่กับเขา)

คือผู้แข็งกร้าวต่อบรรดาผู้ปฏิเสธและเป็นผู้เมตตาระหว่างพวกเขากันเอง พร้อมกับกล่าวเสริมว่า กลุ่มตักฟีรี ได้เพิกเฉยต่อคำสั่งอันชัดเจนของพระผู้เป็นเจ้า โดยการแบ่งพวกเขาออกเป็นมุสลิมและการฟิร ผู้ปฏิเสธ และทำให้ชาวมุสลิมเข่นฆ่ากันเอง


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ตั้งคำถาม ว่า ด้วยกับสภาพการณ์เช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดอีกหรือที่จะสามารถคลางแคลงสงสัยได้ว่า การมีอยู่ของกลุ่มนี้และการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธ ไม่ใช่เป็นงานของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ชั่วร้ายของบรรดารัฐบาลมหาอำนาจและหุ่นเชิดของพวกเขา?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ด้วยการพินิจพิเคราะห์ในข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงถือว่า กลุ่มตักฟีรี เป็นภัยอันตรายที่ร้ายแรงและน่ากลัวที่สุดสำหรับโลกอิสลาม พร้อมกับกล่าวกำชับประเทศอิสลามทั้งหลายให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ และมีความรอบคอบ เฉลียวฉลาดอย่างแท้จริงในเรื่องนี้ โดยกล่าวเสริมว่า เป็นที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่รัฐบาลมุสลิมบางประเทศไม่ได้ใส่ใจถึงผลร้ายต่าง ๆ ที่จะติดตามมาของการสนับสนุนคนกลุ่มนี้ และพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่า ไฟแห่งวิกฤตอันเลวร้ายนี้ จะปกคลุมพวกเขาทั้งหมด

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความแตกแยกที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นระหว่างพี่น้องซุนนีกับชีอะห์ การเพิ่มความขัดแย้งภายในของประเทศมุสลิมในช่วงสามหรือสี่ปีล่าสุดที่ผ่านมา เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ของมหาอำนาจผู้กดขี่เพื่อเผชิญหน้ากับกระแสการตื่นตัวอิสลามในบางประเทศ


ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า บรรดามหาอำนาจพยายามที่จะให้การตื่นตัวของอิสลามเข้ามาอยู่ภายใต้การครอบงำของตน จึงปลุกปั่นผู้ปฏิบัติตามนิกาย มัซฮับต่าง ๆ ของอิสลามต่อสู้กันเอง และต่อจากนั้น พวกเขาถือว่ากระทำต่าง ๆ อันชั่วร้ายของกลุ่มตักฟีรีย์กลายเป็นเรื่องเด่น อย่างเช่น “การเคี้ยวตับของคนที่ถูกฆ่า” อันทำให้รากฐานของอิสลามดูน่าเกลียดในความคิดของสาธารณชนชาวโลก


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า เป็นที่แน่ชัดว่า ปัญหาต่างๆเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว โดยที่มหาอำนาจโลกมีการวางแผนและกำหนดนโยบายมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาแล้วเพื่อดำเนินแผนการเช่นนี้

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมนอี ถือว่า การเผชิญหน้าต่อสู้กับตัวการที่ต่อต้านเอกภาพ เป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของพี่น้องซุนนีและชีอะห์ และกลุ่มองค์กรต่างๆทางศาสนา พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บรรดาปัญญาชนทางการเมือง นักวิชาการ และนักการศาสนา ก็มีภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งในการสร้างเอกภาพให้บังเกิดขึ้นในสังคมอิสลามอย่างแท้จริง

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ โดยเรียกร้องเชิญชวน “อุลามาอ์โลกอิสลาม” ให้ทำการตักเตือนประชาชาติทั้งหลายให้มีความระมัดระวังจากความแตกแยกเชิงนิกายและมัศฮับ โดยที่ “นักวิชาการในมหาวิทยาลัย” ต้องทำการอธิบายความสำคัญของเป้าหมายอิสลามให้กับนักศึกษา และ “บรรดาปัญญาชนทางการเมืองของประชาชาติอิสลาม” ต้องพึ่งพาอาศัยพี่น้องประชาชนและออกห่างจากศัตรูอิสลาม พร้อมกับกล่าวย้ำว่า เอกภาพ คือประเด็นที่สำคัญที่สุดของโลกอิสลามในวันนี้


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึง การที่ประเทศมุสลิมค่อยๆทยอย และหลุดพ้นจากการถูกครอบงำโดยตรงโดยมหาอำนาจล่าอานานิคม พร้อมกับย้ำเตือนว่า มหาอำนาจต้องการแสวงหาผลประโยชน์ในช่วงการครอบงำโดยตรง โดยใช้การครอบงำทางอ้อม เชิงการเมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า “การตื่นตัว และการรับรู้เข้าใจ” คือแนวทางเดียวแห่งความผาสุกความรุ่งโรจน์ของประชาชาติอิสลาม พร้อมกับกล่าวย้ำว่า สิ่งอำนวยความสะดวกที่มากมาย ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น มรดกทางประวัติศาสตร์ที่ล้ำค่า และทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่หาเทียบได้ ที่มีอยู่ในประเทศอิสลามนั้น สามารถเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมุสลิม ภายใต้ร่มธงของเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียว และเกียรติยศ


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามและความมั่นคงแห่งแบบอย่างของสาธารณรัฐอิสลาม ถึงแม้นจะมีกลอุบายและการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนานาของมหาอำนาจในช่วง35 ปี ที่ผ่านมา อันเป็นสัญญาณหนึ่งแห่งความหวังที่สดใสสำหรับประชาชาติอิสลาม พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาล ประชาชาติอิหร่าน และระบอบอิสลาม นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จะหยั่งรากลึก และจะมีเกียรติ์ ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น


ในช่วงท้ายของการพบปะครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้พบปะกับอาคันตุกะ และแขกจากต่างชาติที่เข้าร่วมการประชุมสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอย่างใกล้ชิด

ก่อนที่ท่านผู้นำสูงสุด จะกล่าวสุนทรพจน์ อะกอ โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ก็ได้กล่าวปราศรัยอีกด้วย 

700 /