สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

บรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์ทั่วประเทศ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของสาธารณรัฐอิสลามคือการทำให้อัตลักษณ์อารยธรรมตะวันตกเป็นโมฆะ

บรรดาอิหม่าม(ผู้นำ)นมาซวันศุกร์ทั่วประเทศ  เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า การทำนมาซวันศุกร์ เป็นห่วงโซ่ของอำนาจแบบนุ่มนวล (ซอฟต์เพาเวอร์) ของรัฐอิสลาม ทั้งยังมีความเชื่อมโยงที่สำคัญอย่างมากและเป็นข้อบังคับในรูปแบบที่พิเศษยิ่ง โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “อิหม่ามนมาซวันศุกร์ คือ โฆษกที่เป็นกระบอกเสียงของการปฏิวัติอิสลามและหนึ่งในหน้าที่หลักของพวกเขา คือ การสะท้อนการผลิตความรู้ทางด้านหลักศรัทธา การมีมะอ์รีฟัต(การมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้) และพื้นฐานของการปฏิวัติอิสลาม รวมทั้งการตอบข้อสงสัยด้วยกับภาษาของวันนี้และการอธิบายด้วยเหตุและผล อีกทั้งการมีพฤติกรรมแบบบิดาให้กับทุกๆคน”

ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวเทอดเกียรติเนื่องในวันต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(อ.) โดยท่านกล่าวอธิบายถึงความสำคัญของสถานภาพของการนมาซวันศุกร์ และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพอันพิเศษของการนมาซวันศุกร์ในระหว่างสิ่งที่เป็นข้อบังคับต่างๆทางศาสนา โดยท่านกล่าวว่า “การเชื่อมความสัมพันธ์ในระหว่างการให้ความสนใจต่อพระเจ้า การเข้าร่วมและการรวมตัวของประชาชน การรำลึกถึงพระเจ้าในรูปแบบของการรวมตัวกันและการหลั่งไหลของเกียรติและมีความเป็นศิริมงคลต่อหมู่ประชาชน ความต่อเนื่องโดยไม่มีการละทิ้งนมาซวันศุกร์ในทุกสัปดาห์ เป็นฐานที่สำคัญในการนำเสนอประเด็นต่างๆ ทางสังคม ทั้งยังเป็นประเด็นทางด้านแนวความคิด การบริการภาคสังคม ความร่วมมือกับสาธารณชนและการเตรียมความพร้อมและความเป็นอาสาสมัครทางด้านการทหาร และการผสมผสานทางด้านจิตวิญญาณกับการเมือง ล้วนเป็นลักษณะที่สำคัญมากที่สุดของการนมาซวันศุกร์ ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นศักยภาพที่ยิ่งใหญ่และเป็นโอกาสที่พิเศษอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “การนมาซวันศุกร์ ด้วยการมีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นการเชื่อมโยงที่สำคัญในห่วงโซ่ของอำนาจทางซอฟต์เพาเวอร์ในระยะยาวของรัฐอิสลาม”

หลังจากนั้น ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ตั้งคำถามว่า ในสาธารณรัฐอิสลามนั้น เราสามารถที่จะทำให้การนมาซวันศุกร์ ดำรงอยู่ในฐานภาพที่สูงส่งและคู่ควรได้ใช่หรือไม่? โดยท่านกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเรานั้นยังมีข้อบกพร่องที่เราจะต้องขจัดมันออกไป ซึ่งในระหว่างนั้น บางส่วนถือเป็นความรับผิดชอบของบรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์และอีกบางส่วนเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายการบริหารจัดการทั่วไปของบรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงสองประเด็นที่เกี่ยวกับอิหม่ามนมาซวันศุกร์

1.ลักษณะ วิธีการและวิถีชีวิตของอิหม่ามวันศุกร์

2. เนื้อหาของบทเทศนาธรรมของการนมาซวันศุกร์

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงลักษณะและวิธีการของอิหม่ามนมาซวันศุกร์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ดั่งที่บรรดาอิหม่ามวันศุกร์ได้กล่าวในบทเทศนาธรรมของวันศุกร์ให้ทุกคนทั้งหมดนั้นมีความยำเกรงต่อพระเจ้า ฉะนั้น ตัวของพวกเขาเองก็จะต้องมีความยำเกรงและนำไปสู่การปฏิบัติด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยความเพียรพยายามอย่างมากที่สุด เพราะว่าหากนอกเหนือจากนี้ ผลที่จะได้รับก็จะตรงกันข้ามอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีพฤติกรรมแบบบิดาที่มีต่อทั้งหมดทุกคนนั้น เป็นหนึ่งในข้อกำหนดของพฤติกรรมและลักษณะของอิหม่ามนมาซวันศุกร์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในการนมาซวันศุกร์นั้นมีกลุ่มชนต่างๆและมีรสนิยมที่แตกต่างกันเข้าร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น พฤติกรรมของอิหม่ามนมาซวันศุกร์จะต้องเหมือนกับการกระทำของบิดาที่มีบรรดาลูกๆของตนเอง และเขาจะต้องเชิญชวนให้ทั้งหมดได้เข้ามาสู่สำรับแห่งจิตวิญญาณ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการเฉลิมฉลองหลายล้านคนในวันอีดเฆาะดีรคุม ณ กรุงเตหะรานและการเข้าร่วมของกลุ่มชนต่างๆและรูปลักษณ์ต่างๆ ถือว่า เป็นปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในวันเฉลิมฉลองนี้ ได้มีประชาชนจากทุกหมู่เหล่าเข้ามาร่วมด้วย แม้ว่าทั้งหมดนั้นจะมีความแตกต่างแบบผิวเผินทางภายนอกก็ตาม แต่ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อศาสนาอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเดินทางเยือนในจังหวัดหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ร่วมอยู่กับบรรดานักการศาสนาของจังหวัดนั้น ได้มีผู้คนมากมายเข้าร่วมให้การต้อนรับข้าพเจ้า และในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวกับประชาชนอยู่นั้น ก็ได้มีผู้คนจำนวนหนึ่งร้องไห้ ซึ่งพวกท่านอาจคาดคะเนว่า หากมองแบบผิวเผิน พวกเขานั้นไม่มีความเชื่อต่อศาสนา ในขณะที่พวกเขาเหล่านั้นต่างมีความเชื่อในศาสนาอย่างแท้จริง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำอีกประการหนึ่ง โดยให้บรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์ปฏิบัติตนตามวิถีของประชาชน กล่าวคือ การเข้าร่วมกับพวกเขาและการสนทนากับพวกเขา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การอยู่ร่วมกับประชาชน ถือเป็นการงานที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายอย่าได้ทำตัวห่างเหินจากประชาชน และอย่าได้จำกัดการเชื่อมความสัมพันธ์กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แน่นอนว่า ในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เครือข่ายของอิหม่ามนมาซวันศุกร์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันแห่งการปฏิวัติอิสลามที่เป็นภาคประชาชนมากที่สุด”

การติดต่อสื่อสารกับบรรดาเยาวชนและการเตรียมกลไกที่เหมาะสมกับพวกเขา เป็นคำแนะนำอีกประการหนึ่งของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการขับเคลื่อนของกลุ่มเยาวชนจำนวนมากทั่วประเทศ บรรดาอาสาสมัคร กลุ่มนิรนาม และการไม่โอ้อวดของพวกเขา ถือว่าเป็นหน้าที่ของบรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์ในการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มต่างๆและการให้การสนับสนุนต่อพวกเขา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การมีส่วนร่วมในการบริการภาคสังคม เช่น การช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า และการเก็บรวบรวมความช่วยเหลือของบรรดาผู้ศรัทธาให้กับบรรดาผู้ที่ขัดสน ถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ๆจำเป็นของบรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์ ซึ่งบางส่วนของพวกเขาได้ฉายภาพลักษณ์ในด้านนี้อีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำในประเด็นนี้ว่า “เรานั้นให้การสนับสนุนต่อความยุติธรรมและเราได้ชูธงนี้ขึ้น แต่ทว่าการบรรลุถึงความยุติธรรมโดยปราศจากการช่วยเหลือต่อกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสนั้น ถือว่าไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำอีกประการหนึ่ง ด้วยการกล่าวขอบคุณต่อความพยายามของหน่วยงานต่างๆในการจัดพิธีการนมาซวันศุกร์ทั่วประเทศ โดยท่านได้สั่งให้บรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์สังเกตถึงความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงจากการเข้าร่วมในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จะต้องหลีกเลี่ยงจากการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายของการนมาซวันศุกร์ก็ตาม เพราะว่าจะเกิดผลกระทบทางด้านลบจากการเข้าร่วมของบางคนในการขับเคลื่อนนี้ ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังเกิดผลกระทบกับรัฐอิสลามอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบริหารจัดการขององค์กรนักการศาสนาและสถาบันศาสนา เป็นองค์กรในภาคประชาชนมาโดยตลอด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สถาบันศาสนา บรรดามัรญิอ์ และนักการศาสนานั้นขึ้นอยู่กับประชาชน และไม่มีความต้องการที่จะต้องพึ่งพารัฐบาลและอำนาจต่างๆ และนี่คือความภาคภูมิใจและความเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เอง สถาบันศาสนาจึงสามารถที่จะยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในเหตุการณ์ต่างๆโดยที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลทั้งหลาย ฉะนั้น การนมาซวันศุกร์ จึงจะต้องมีการบริหารในลักษณะนี้และด้วยกับการช่วยเหลือจากภาคประชาชน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวถึงหลายประเด็นที่เกี่ยวกับบทเทศนาธรรมและเนื้อหาของมันในการนมาซวันศุกร์

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บทเทศนาธรรมในวันศุกร์และคอเต็บ(ผู้แสดงบทเทศนาธรรม) เป็นโฆษกที่เป็นกระบอกเสียงของการปฏิวัติอิสลามและเป็นผู้อธิบายและผู้เรียกร้องสู่หลักการพื้นฐานของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ของคอเต็บในวันศุกร์ คือ การสะท้อนการผลิตความรู้ทางด้านหลักศรัทธา การมีมะอ์รีฟัต และแนวความคิดของการปฏิวัติอิสลาม อาทิเช่น ประเด็นที่สำคัญเป็นอย่างมาก กล่าวคือ ความยุติธรรม ความเป็นอิสรภาพ การสนับสนุนต่อกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสและการปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติที่เหมาะสมกับความต้องการของวันนี้และด้วยกับการมีวรรณคดีใหม่”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า บทเทศนาธรรม ควรที่จะเต็มไปด้วยความรู้ มีคำสอนและเป็นคำตอบสำหรับคำถามต่างๆของสาธารณชน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “วรรณคดีของบทเทศนาธรรม ควรที่จะต้องมีความอบอุ่น มีความเป็นกันเอง สร้างเอกภาพ ให้ความหวัง ทำให้เกิดบะซีเราะฮ์ (การรู้แจ้งเห็นจริง) ทำให้เกิดความสงบนิ่งกับประชาชน โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล เป็นประเด็นชายขอบ ก่อความวุ่นวายทางจิตวิญญาณ การมองโลกในแง่ร้ายต่อสถานการณ์ในปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งการทำให้เกิดเป็นข้ออ้างสำหรับการโจมตีของเหล่าศัตรู”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ภารกิจสำคัญของนมาซวันศุกร์ คือ การเผชิญหน้ากับการแพร่กระจายของข้อสงสัยโดยผู้ที่ไม่หวังดี โดยท่านกล่าวว่า “สนามรบในวันนี้ เป็นสนามของพลังแบบนุ่มนวล (ซอฟต์เพาเวอร์) และศัตรูต่างพยายามสร้างความคลุมเครือที่จะทำลายป้อมปราการที่แข็งแกร่งของความศรัทธาของประชาชนและบ่อนทำลายพวกเขา เพราะว่า เป็นปัจจัยแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ทั้งการยืนหยัดของประชาชนในยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ การก่อวิกฤตและเวทีการด้านอื่นๆ ล้วนเป็นความศรัทธาของประชาชนทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของสาธารณรัฐอิสลาม คือ การทำให้จุดศูนย์กลางของอัตลักษณ์ของอารยธรรมตะวันตก เป็นโมฆะ หมายถึง การแยกศาสนาออกจากการเมือง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สาธารณรัฐอิสลาม ไม่เพียงรักษาตัวเองด้วยกับสโลแกนของศาสนาเท่านั้น แต่ด้วยกับความก้าวหน้าของอิหร่าน ขณะที่พวกตะวันตกต่างพยายามในระยะยาวที่จะทำให้สัญลักษณ์ของศาสนานั้นไม่เข้ากันกับการเมือง ดังนั้น มาเฟียของมหาอำนาจชาติตะวันตกที่นำโดยพวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์และเหล่านายทุนทั้งหลาย และอเมริกา ก็เป็นงานแสดงในตู้โชว์ของพวกเหล่านั้นที่มีความโกรธเคืองต่อความจริงอันเด่นชัดนี้ และพวกเหล่านั้นกำลังวางแผนที่จะบ่อนทำลายสาธารณรัฐอิสลามอย่างเสมอมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นต่างๆ ที่หยิบยกขึ้นมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องผู้หญิงและฮิญาบ โดยท่านกล่าวว่า “ประเด็นเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม และเมื่อครั้งล่าสุด ก็เช่นเดียวกัน ความพยายามที่ประสบความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยกับข้ออ้างของฮิญาบ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ในการประชุมแห่งหนึ่ง ได้มีผู้ถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับประเด็นผู้หญิง ในการเผชิญหน้ากับตะวันตก ท่านมีวิธีการใดในการป้องกันประเด็นนี้ ข้าพเจ้าก็ตอบกลับไปว่า ข้าพเจ้าไม่มีการป้องกันใดๆ แต่ทว่าข้าพเจ้าจะทำการโจมตี โดยพวกเหล่านั้นถือว่าสตรีนั้นเป็นเพียงสินค้า ซึ่งเราจะต้องมีการปกป้องและมีคำตอบอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งคำถามนี้ว่า ด้วยเหตุใดหรือที่สื่อทางการและรัฐบาลของอเมริกาและอังกฤษและเหล่าทหารรับจ้างของพวกเหล่านั้น ได้โจมตีประเด็นเรื่องผู้หญิงภายใต้ข้ออ้างของฮิญาบ? และพวกตะวันตกนั้นเป็นผู้ที่ปกป้องสิทธิสตรีชาวอิหร่านจริงกระนั้นหรือ?  โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกตะวันตก จะเป็นดั่งผู้ที่หากว่ามีความสามารถที่จะปิดกั้นน้ำให้กับประชาชาติอิหร่านได้ พวกเหล่านี้ก็จะกระทำ เช่นเดียวกันกับที่พวกเขาได้ต้องห้ามให้ยารักษาโรคแก่บรรดาเด็กๆ และไม่อนุญาตให้เด็กๆเหล่านี้เข้าถึงยา แล้วพวกเหล่านี้จะมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้หญิงชาวอิหร่านกระนั้นหรือ?

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ข้อเท็จจริงของประเด็นนี้ก็คือ ผู้หญิงชาวอิหร่านที่มีเกียรติและมีความสามารถนั้น ถือเป็นหนึ่งในการโจมตีที่ใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดด้วยกับข้ออ้างในการสร้างความเสียหายและการพูดโกหกของอารยธรรมตะวันตก ขณะที่พวกเหล่านี้ต่างโกรธเคืองอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “ชาวตะวันตกต่างพูดกันมาเมื่อหลายปีที่แล้วว่า ตราบใดที่ผู้หญิงยังไม่เป็นอิสระจากข้อจำกัดทางศีลธรรมและทางศาสนา พวกนางก็ไม่สามารถที่จะได้รับความก้าวหน้าและการเข้าถึงระดับสูงส่งทางด้านวิทยาศาสตร์ การเมือง และทางสังคมได้ แต่ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา ผู้หญิงชาวอิหร่านสามารถที่จะคลุมฮิญาบแบบอิสลามและสวมใส่ผ้าชาโดร(ผ้าคลุมปิดทั้งตัว)โดยเข้าร่วมในสนามต่างๆทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคม กีฬา การเมือง การบริหาร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม อีกทั้งยังประสบความสำเร็จและได้รับความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ความสำเร็จต่างๆของผู้หญิงมุสลิมชาวอิหร่าน ได้ทำให้ความพยายามของพวกตะวันตก ตลอดช่วงสองหรือสามร้อยปีที่ผ่านมานั้น เป็นโมฆะ และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงมีความโกรธเคืองต่อผู้หญิงชาวอิหร่าน และด้วยกับข้ออ้างในประเด็นฮิญาบ โดยพวกเขาได้ตั้งข้อสงสัยและการสร้างบรรยากาศดังกล่าวนี้ขึ้นมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นของฮิญาบในนมาซวันศุกร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับในสื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารมวลชน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ปัญหาเหล่านี้ ควรที่จะได้รับการแก้ไขด้วยตรรกะ มีความมั่นคงและการหลีกเลี่ยงจากการใช้อารมณ์ที่ไม่จำเป็น และจะต้องอธิบายด้วยกับเหตุผลที่ชัดเจน โดยการเปิดเผยถึงตรรกะของการล่าอาณานิคมของพวกตะวันตก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายด้วยกับการมีความมั่นคงในกรณีต่างๆก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เป็นไปได้ว่าในบางพื้นที่อาจจะมีความผิดปกติทางสังคมเกิดขึ้น ซึ่งอิหม่ามนมาซวันศุกร์ ควรพิจารณาทั้งหมดด้วยกับการตัดสินใจที่จะนำเสนอในนมาซวันศุกร์ และจะต้องมีคุณภาพที่เหมาะสมกับฐานภาพของอิหม่ามนมาซวันศุกร์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำอีกครั้งถึงการเผชิญหน้ากับความคลุมเครือของศัตรูและความจำเป็นในการปฏิบัติตามหน้าที่ของญิฮาด ตับยีน (การต่อสู้เชิงอธิบายและการแสดงออก)อย่างจริงจัง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในขณะที่บางคนได้ยืนหยัดในสงครามที่หนักหน่วงและในการเผชิญหน้ากับการฝ่าฟัน แต่ทว่าพวกเขากลับประสบกับความล้มเหลวในสนามของสงครามทางจิตวิทยาและในการเผชิญหน้ากับการสร้างความคลุมเครือ ซึ่งแน่นอนว่า หนึ่งในเหตุผลของเหตุการณ์เหล่านี้ คือ การแสวงหาปัจจัยทางโลกแห่งวัตถุนิยม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำแนะนำที่ได้กล่าวถึงบรรดาอิหม่ามนมาซวันศุกร์นั้น เป็นข้อเท็จจริงสำหรับการบรรยายธรรมในช่วงเดือนมุฮัรรอม โดยท่านได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดึงดูดผู้ฟังและความพยายามในการยกระดับทางสังคมของประชาชนในนมาซวันศุกร์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ตรงกันข้ามกับที่บางคนได้อ้างว่าประชาชนนั้นมีความศรัทธาที่อ่อนแอ ขณะที่พิธีการที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ เช่น การจัดงานเฉลิมฉลองวันอีดเฆาะดีรคุม การจัดงานไว้อาลัยในเดือนมุฮัรรอมและเดือนซอฟัร การเดินขบวนในวันอัรบะอีน และการช่วยเหลือทางทรัพย์สินของประชาชนต่อสถาบันศาสนา แสดงให้เห็นว่า สาธารณชนนั้นมีความศรัทธาและมีศาสนาที่เข้มแข็งเป็นอย่างมาก และอย่าได้ถือว่า การไม่มีความสามารถของบุคคลหนึ่งในการดึงดูดประชาชนให้เข้ามาสู่สังคมนั้น เป็นการกระทำของผู้ที่ไม่มีศาสนา เพราะว่า ประชาชนกำลังเข้าสู่ภาคสนาม และนี่คือหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเองและจะไม่ถอนตัวออกจากภาคสนามนี้อีกด้วย”

ในช่วงเริ่มต้นของการเข้าพบปะกันครั้งนี้ ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ฮัจญ์ อะลี อักบะรี ประธานสภาการกำหนดนโยบายการแต่งตั้งอิหม่ามนมาซวันศุกร์ ได้ชี้ให้เห็นถึงการจัดพิธีการนมาซวันศุกร์ใน 900 สถานที่ทั่วประเทศ โดยเขากล่าวรายงานที่เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ แบบแผน และการขับเคลื่อน เพื่อที่จะเสริมสร้างคุณภาพของนมาซวันศุกร์

 

 

700 /