สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานาธิบดี เจ้าหน้าที่รัฐฯและผู้เข้าร่วมสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอิสลามเข้าพบผู้นำสูงสุด

ต้นกล้าแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระง่าน

พณฯประธานาธิบดี พร้อมบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ และบรรดาแขกชาวต่างชาติที่เข้าร่วมงานสัมมนาสัปดาห์แห่งเอกภาพอิสลาม เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องวันที่ 17 รอบีอุลเอาวัล ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) โดยท่านผู้นำถือว่า เอกภาพและความสามัคคี คือ สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในความต้องการของประชาชาติอิสลาม สำหรับการแสดงบทบาทและการบรรลุถึงสถานภาพอันสูงส่งในเรขาคณิตใหม่ของการมีอำนาจ และท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพที่สำคัญอย่างยิ่งของบรรดาผู้ชาญฉลาด ผู้เชี่ยวชาญ และบรรดาเยาวชนที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีต่อโลกอิสลาม สำหรับการบรรลุยังสิ่งสำคัญนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เอกภาพของอิสลามและการปรากฏตัวที่มีประสิทธิภาพในโลกใหม่นี้ เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้และจะต้องเกิดขึ้น ด้วยกับเงื่อนไขที่ว่า จะต้องมีความพยายามในการปฏิบัติและการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับความยากลำบากและกระแสความกดดันต่างๆ ซึ่งตัวอย่างที่เด่นชัดนั่นคือ สาธารณรัฐอิสลาม ซึ่งไม่ยอมจำนนในการเผชิญหน้ากับเหล่าชาติมหาอำนาจและมีการยืนหยัด ขณะที่ในปัจจุบันนี้ ต้นกล้านี้ ได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน แม้แต่การจินตนาการที่จะถอนรากถอนโคนมัน ก็เป็นไปไม่ได้เลย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวแสดงความยินดี เนื่องในวโรกาสวันประสูติของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) และท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) โดยท่านได้เน้นย้ำให้เห็นถึงบุคลิกภาพอันจำเพาะของท่านศาสดาแห่งอิสลาม ซึ่งจุดสูงสุดของท่านคือ  การประกาศความเป็นศาสนทูตอย่างเป็นทางการของท่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การจัดงานเฉลิมฉลองในวันประสูติของท่านศาสดาแห่งอิสลาม จะต้องเป็นโอกาสสำหรับประชาชาติอิสลามในการยึดเป็นบทเรียนและแบบฉบับของท่านศาสดานั้น เป็นแบบฉบับที่ดีงามอย่างยิ่ง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่าจากโองการอัลกุรอานที่บ่งบอกถึงความยากลำบากของประชาชาติอิสลาม เป็นความยากลำบากสำหรับท่านศาสดา แต่สำหรับเหล่าศัตรูของบรรดามุสลิม นั้นกลับเป็นความพึงพอใจของพวกเหล่านี้ และท่านผู้นำยังได้กล่าวอธิบายและวิเคราะห์เกี่ยวกับสาเหตุของความยากลำบากของประชาชาติอิสลามในโลกวันนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ปัญหาและความยากลำบากในโลกอิสลามนั้นมีอยู่มากมาย แต่หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุด คือ การสร้างความแตกแยกและการที่บรรดามุสลิมต้องออกห่างจากกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลของการสร้างความแตกแยกและการออกห่างจากกัน คือ ความต่ำต้อยและการห่างไกลจากการมีเกียรติและศักดิ์ศรี โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “หน้าที่ของบุคคลที่เฉพาะเจาะจงและบรรดาผู้ที่ทรงอิทธิพลในโลกอิสลาม คือ การมุ่งเน้นแสวงหาวิธีการต่างๆและการทำให้เอกภาพของบรรดามุสลิมถูกนำไปสู่การปฏิบัติ เพราะว่าศัตรูที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามนั้น ได้ให้กำเนิดเชื้อมะเร็งในภูมิภาคและในแผ่นดินปาเลสไตน์ที่มีชื่อว่า รัฐเถื่อน จอมปลอม ยิวไซออนิสต์และการดำรงอยู่ของพวกไซออนิสต์ที่ชั่วร้าย ผู้ที่สร้างความเสียหาย อาชญากร และฆาตกรที่ไร้ซึ่งความปราณี เพื่อต้องการที่จะทำให้เกิดความแตกแยกกันระหว่างบรรดามุสลิมและในประเทศอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสถาปนาความสัมพันธ์อย่างปกติของบางประเทศอิสลามกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เป็นหนึ่งในการทรยศที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “เป็นไปได้ว่าบางคนจะพูดว่าการเกิดความเป็นเอกภาพในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ด้วยกับการมีอยู่ของเหล่าผู้นำประเทศอิสลามบางคนนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่บรรดานักวิชาการสมัยใหม่ นักการศาสนา และบรรดาผู้ชาญฉลาด บรรดานักอัจฉริยบุคคลของโลกอิสลาม สามารถที่จะสร้างบรรยากาศที่มีความแตกต่างไปจากความต้องการของศัตรู ซึ่งในกรณีเช่นนี้ การเกิดความเป็นเอกภาพจึงมีความเป็นไปได้มากกว่า”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งคำถามที่ว่า “ความหมายของเอกภาพคืออะไร?” โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้จากความหมายของเอกภาพก็คือ ความเป็นเอกภาพในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชาติอิสลาม ไม่ใช่ความเป็นเอกภาพทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และภูมิศาสตร์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “จะต้องมีความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชาติอิสลามและบรรดามุสลิมควรรู้ว่าผู้ใดคือมิตรและผู้ใดคือศัตรูและจะต้องเป็นมิตรและศัตรูกับพวกเขาได้อย่างไร และการดำเนินการร่วมกันเพื่อต่อต้านกับแผนการร้ายของมหาอำนาจ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า จุดสำคัญหลักในการดำเนินการร่วมกัน คือ การเข้าถึงยังความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับเรขาคณิตทางการเมืองของโลก โดยท่านกล่าวว่า “แผนที่ทางการเมืองของโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ระบบขั้วเดียวกำลังถูกขับเคลื่อนไปสู่การปฏิเสธ และมหาอำนาจ จอมอหังการของโลก จะสูญเสียความชอบธรรมในแต่ละวันที่มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา อีกด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เอง โลกใหม่ก็กำลังจะเกิดขึ้น และคำถามที่มีความสำคัญอย่างมากก็คือ สถานภาพของโลกอิสลามและประชาชาติอิสลามของโลกใหม่นี้อยู่ที่ใดหรือ? โดยท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ ประชาชาติอิสลาม สามารถที่จะได้รับสถานภาพอันสูงส่ง และในโลกใหม่ จะกลายเป็นต้นแบบและความล้ำหน้า ด้วยกับเงื่อนไขที่ว่า จะต้องมีความเป็นเอกภาพอย่างแท้จริง และการออกห่างจากการสร้างความแตกแยก การกระซิบกระซาบของพวกอเมริกา ยิวไซออนิสต์ และบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายของพวกชาติตะวันตก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งคำถามบนพื้นฐานที่ว่า ความเป็นเอกภาพระหว่างบรรดามุสลิมและการได้รับสถานภาพอันสูงส่งในโลกที่กำลังมีความเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้กระนั้นหรือ? โดยท่านกล่าวตอบว่า “ใช่แล้ว มีความเป็นไปได้ ที่จะเกิดความเป็นเอกภาพระหว่างประชาชาติอิสลามทั้งหลาย แต่ทว่าจะต้องการความเพียรพยายาม การปฏิบัติ และการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับความกดดันต่างๆและความยากลำบากทั้งหลาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ในประเด็นเหล่านี้ จะต้องให้ความหวังกับบรรดาบุคลากรของโลกอิสลามและเยาวชนที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีในการแสดงบทบาทของการชี้นำต่อความคิดเห็นของสาธารณชน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตัวอย่างหนึ่งของความเป็นไปได้ในการมีอิทธิพล ก็คือ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งจากต้นกล้าต้นเล็ก ด้วยกับการชี้นำของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ในการเผชิญหน้ากับสองชาติมหาอำนาจในยุคสมัยนั้น และบัดนี้ ต้นกล้าต้นนั้นได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านและถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่การจินตนาการว่าจะถอนรากถอนโคนมันได้เช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เราได้ยืนหยัดและก้าวไปข้างหน้า แต่แน่นอนว่าการยืนหยัดนั้น ก็เหมือนทุกการงานที่จะต้องมีความยากลำบากด้วยเช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่ยอมจำนน เขานั้นจะได้รับความยากลำบาก ด้วยกับความแตกต่างที่ว่า การยืนหยัด จะเป็นบ่อเกิดของความก้าวหน้า ขณะที่การยอมจำนนจะเป็นเหตุให้เกิดความล้าหลัง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ความจำเป็นในการเกิดความเป็นเอกภาพ คือ การหลีกเลี่ยงจากการเปลี่ยนความแตกต่างทางมัสฮับ เป็นการทะเลาะเบาะแว้งและการปะทะกัน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เหล่านักการเมืองสหรัฐฯและอังกฤษได้ต่อต้านกับหลักการอิสลาม และการถกเถียงกันในประเด็นชีอะฮ์และซุนนี เป็นสิ่งที่มีความเป็นอันตรายอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ย้อนรำลึกคำพูดในอดีตของตนที่ว่า “ชีอะฮ์อังกฤษและซุนนีอเมริกา” และความพยายามของบางคนที่ต้องการจะบิดเบือน โดยท่านกล่าวว่า “ชีอะฮ์อังกฤษและซุนนีอเมริกา หมายความว่า ผู้ที่ไม่ว่าเขานั้นจะอยู่ในสถานภาพใดหรือประเทศใดก็ตาม เหมือนดั่งเช่น กลุ่มก่อการร้ายไอซิส ด้วยกับการทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน การสร้างความแตกแยกและการตักฟีร (ปฏิเสธ)ถือเป็นการรับใช้ต่อศัตรูทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวแสดงความเสียใจต่ออาชญากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในอิรัก ซีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการสังหารหมู่เด็กนักเรียนในอัฟกานิสถาน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าในซุนนีหรือในชีอะฮ์ ก็มีพวกหัวรุนแรงกันทั้งนั้น แต่พวกเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีอะฮ์และซุนนี และพวกหัวรุนแรงเหล่านี้ ไม่ควรใช้เป็นฐานในการกล่าวหามัสฮับและผู้ที่ปลุกเร้าความรู้สึกของอีกฝ่ายในนามของผู้ที่สนับสนุนมัสฮับ จะต้องมีการจัดการอย่างจริงจัง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความยากลำบาก กระแสความกดดันและการสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ในแต่ละวันและในพื้นที่อื่นๆของโลกอิสลาม คือ ผลจากความแตกแยกของประชาชาติอิสลาม และท่านยังได้ชี้ให้เห็นว่า เรานั้นยังมีจุดร่วมต่างๆมากมายของบรรดามุสลิม โดยท่านกล่าวว่า “จนถึงในขณะนี้ สาธารณรัฐอิสลามได้ใช้ขีดความสามารถ เพื่อที่จะให้เกิดความเป็นเอกภาพทางการปฏิบัติ ซึ่งตัวอย่างที่เด่นชัด นั่นคือ การสนับสนุนในทุกด้านกับพี่น้องชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในประเทศปาเลสไตน์ และหลังจากนี้ การสนับสนุนเช่นนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ฝ่ายของการยืนหยัดได้เกิดขึ้นแล้วในโลกแห่งอิสลาม ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านอีกด้วย โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกเรานั้นต่างเชื่อมั่นในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า และหวังด้วยว่าความเป็นเอกภาพอิสลามทางการปฏิบัติจะเกิดขึ้น”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯท่านประธานาธิบดี ได้กล่าวว่า ท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม คือ ผู้ที่สูงส่งที่สุดในการเชิญชวนมนุษยชาติมาสู่ความยุติธรรม การใช้สติปัญญาว่าด้วยเหตุผล การมีจิตวิญญาณ ศีลธรรมและจริยธรรม และการถือว่าเหล่าศัตรูต่างพยายามที่จะทำลายการขับเคลื่อนของท่านศาสดาด้วยกับการลอบสังหารท่านและการบ่อนทำลายการเชิญชวนของท่าน โดยพณฯท่านประธานาธิบดี กล่าวเสริมว่า “วันนี้ ก็เช่นกัน ที่ฝ่ายต่อต้านอิสลามได้จัดแถวในการเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ปฏิบัติท่านศาสดา ด้วยความพยายามในรูปแบบต่างๆ เช่น จากการก่อการร้ายทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ   แต่ดังเช่นที่ในวันนั้น พวกเหล่านี้ไม่สามารถสร้างอุปสรรคขวางกั้นโลกาภิวัฒน์ในการขับเคลื่อนแห่งศาสดาได้ และในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน พวกเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะยับยั้งประชาชาติที่ยึดมั่นต่อค่านิยมของท่านศาสดา”

ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ระอีซี ประธานาธิบดี ถือว่า สาเหตุของความเกลียดชังของศัตรูที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน คือ ความก้าวหน้าที่น่าสะพรึงใจและในทุกๆด้าน โดยเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จากการเยือนกรุงนิวยอร์กครั้งล่าสุด เลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวขอโทษในการพบปะแบบส่วนตัว และบอกว่า แม้ว่าเราจะพยายามอย่างมากก็ตาม ไม่อาจที่จะทำให้มาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า ที่มีต่ออิหร่าน ถูกยกเลิกได้ แต่ข้าพเจ้าได้ตอบให้กับเขาว่า แต่ทว่าประชาชาติอิหร่านได้ทำให้ภัยคุกคามและการคว่ำบาตร กลายเป็นการสร้างโอกาส และในเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า เราได้เปิดใช้ศูนย์ผลิตวัคซีนถึง 6 แห่งด้วยกันและเราได้กลายเป็นผู้ส่งออกวัคซีนอีกด้วย และในวันนี้เราได้เป็นหนึ่งประเทศชั้นนำของโลกในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้”

พณฯท่านประธานาธิบดี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสถิติของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลดหย่อนของอัตราเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของความร่วมมือทางการค้าและระหว่างประเทศของประเทศของเรา และต้องขอขอบคุณต่อประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างจริงใจกับรัฐบาลในการดำเนินการจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ และเขากล่าวว่า “เหล่าศัตรูของอิหร่านในเหตุการณ์ก่อจลาจลล่าสุด ต่างพยายามที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติ แต่ทว่าประชาชนด้วยการมีความอดทนและการยืนหยัด ได้ทำให้พวกเหล่านั้นพบกับความล้มเหลวเหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมา”

ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ระอีซี ถือว่า การปกปิดข้อเท็จจริง และการแพร่กระจายความโง่เขลาสมัยใหม่ เป็นหนึ่งในกลอุบายของเหล่าผู้ที่ไม่หวังดีต่อโลกอิสลาม โดยเขากล่าวเสริมว่า “วิธีการจัดการกับกลอุบายนี้ คือ การแพร่กระจายความตื่นตัว บนแกนหลักของเอกภาพอิสลามและการออกห่างจากการสร้างความแตกแยกระหว่างกัน”

 

 

 

 

 

 

 

700 /