สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

กลุ่มบะซีจอาสาสมัครหลายพันคนทั่วประเทศ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม

“พายุแห่งอัลอักซอได้ช่วยก่อตัวภูมิรัฐศาสตร์การเมืองใหม่ในเอเชียตะวันตก”

กลุ่มบะซีจอาสาสมัคร หลายพันคนทั่วประเทศ เข้าพบ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านถือว่า ตรรกะของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ในการสร้างกลุ่มบะซีจ เป็นการต่อต้านสูงสุดของอิหร่านที่มีต่อภัยคุกคามและภัยอันตราย และท่านยังกล่าวอธิบายถึงลักษณะอันพิเศษของวัฒนธรรมและแนวคิดของบะซีจ และการให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติที่สำคัญ โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “คำทำนายของท่านอิมามโคมัยนีและการประกาศข่าวดีที่เกี่ยวกับการก่อตัวของแกนกลางของการต่อต้านระดับโลกได้เกิดขึ้นจริงและพายุแห่งอัลอักซอที่ไม่มีวันดับลงได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการก่อตัวของภูมิศาสตร์การเมืองใหม่ในเอเชียตะวันตก ซึ่งการต่อต้านสหรัฐฯและการเกิดสองขั้วของการยืนหยัดต่อต้านและการยอมจำนน แทนที่ความเป็นคู่ของรัฐเถื่อนและการยึดครอง ทั้งยังทำให้มีความรวดเร็วมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งถือเป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดของภูมิศาสตร์การเมืองใหม่นี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในช่วงเริ่มต้นของการกล่าวสุนทรพจน์ในการพบปะกันครั้งนี้ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดพร้อมกันไปยังหน่วยบะซีจต่างๆทั่วประเทศ ถือว่า บะซีจ เป็นมรดกอันล้ำค่าของท่านอิมามโคมัยนี และถือว่า เป็นความภาคภูมิใจของท่านอิมามในการทำให้บะซีจนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการมีศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมองการณ์ไกลของท่านอิมามในความต้องการอย่างเร่งด่วนของประเทศสำหรับกองกำลังขนาดใหญ่ภาคประชาชน คือ ตรรกะในการก่อตั้งกลุ่มบะซีจ โดยท่านกล่าวว่า “ตรรกะในการต่อต้านที่สูงสุดของประเทศจากการเผชิญหน้ากับภัยอันตรายและภัยคุกคามทั้งหมดนั้น ในปัจจุบันและในอนาคต มีความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน  และการดำรงอยู่ของบะซีจนั้น มีไว้เพื่อการป้องกันรอบด้าน ทั้งทางวัตถุและทางจิตวิญญาณจากอัตลักษณ์ของชาติ ความมั่นคงของอิหร่าน และผลประโยชน์ของชาติ ถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลงานของบะซีจในช่วง 44 ปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นสัญญาณของการตั้งเป้าหมายที่แม่นยำของท่านอิมามในการสร้างหน่วยงานภาคประชาชนแห่งนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผลงานที่เด็ดขาดและได้รับชัยชนะของบะซีจในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการมองการณ์ไกลของท่านอิมามโคมัยนี”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายถึงสถานภาพของบะซีจในสำนักคิดของอิมามโคมัยนี โดยยกสองวลีที่สำคัญของท่านอิมามโคมัยนี พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “บะซีจ ในมุมมองของท่านอิมามโคมัยนี ถือเป็นกองทัพที่มีความบริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า และยังเป็นโรงเรียนแห่งความรัก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่ท่านอิมามโคมัยนีได้ใช้คำว่า กองทัพ เพื่อบ่งบอกถึงแง่มุมในการต่อสู้ของกลุ่มบะซีจ โดยท่านกล่าวว่า “การต่อสู้ หมายถึง การผสมผสานระหว่างอำนาจทางกายภาพและทางวัตถุ กับอำนาจทางจิตวิญญาณ การมีเจตนารมณ์มุ่งมั่น และความกล้าหาญ และอำนาจทางปัญญา ซึ่งหมายถึง กลยุทธ์และยุทธวิธีในการทำสงคราม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวอธิบายถึงกองทัพที่มีความบริสุทธิ์ใจของพระผู้เป็นเจ้า โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “วลีนี้ของท่านอิมามโคมัยนี นั่นหมายถึง การระดมพลและอาสาสมัคร การต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระผู้เป็นเจ้า และในการต่อสู้ จึงถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่ท่านอิมามโคมัยนีเรียกบะซีจว่าเป็นโรงเรียนแห่งความรัก แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงนี้ ซึ่งบะซีจ มีการขับเคลื่อนด้วยความรักต่อพระเจ้า การมีจิตวิญญาณ และผู้คน ดำเนินไปตามทิศทางที่ถูกต้อง และยังมีการอบรมสั่งสอนให้มีความรักที่แท้จริง

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลงานของบะซีจ เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวคิดเหล่านี้ โดยท่านกล่าวว่า “บะซีจในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ปฏิบัติภารกิจอย่างยอดเยี่ยม ด้วยการมีบรรดาผู้บัญชาการที่เก่งกาจ อาทิเช่น นายพลสุไลมานี ซัยยาด ชีรอซี เฮมมัต บอบออี ชีรูดี ฮะมะดะนี และนายพลอีกหลายร้อยนาย และการเคลื่อนไหวที่ประสบความสำเร็จนี้ในการป้องกันฮะร็อมอันศักดิ์สิทธิ์และสนามแห่งการต่อสู้อื่นๆก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการเข้าร่วมของบะซีจ ในสนามแห่งความรัก การบริการ และความพยายาม รวมถึงในด้านการสร้างสรรค์ สุขภาพ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ วิทยาศาสตร์และการวิจัย โดยท่านถือว่า ชะฮีดฟัครีซาเดห์และมัรฮูม กาเซมี อัชติยานี (ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยรูยาน) ในฐานะที่ทั้งสองนั้นเป็นบะซีจ ในสาขาวิทยาศาสตร์และความรู้ ซึ่งพวกเขาทั้งสองได้ขับเคลื่อนทางด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นย้ำด้วยการอธิบายถึงแนวคิดที่กว้างขวางเกี่ยวกับบะซีจ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บะซีจนั้น เป็นมากกว่าองค์กร กล่าวคือ เป็นวัฒนธรรมและแนวคิด และสำหรับทุกคนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมและแนวคิดนี้ แม้ว่า เขาจะไม่ได้อยู่ในองค์กรบะซีจก็ตาม เขาก็คือ บะซีจ และด้วยคำอธิบายนี้ ประชาชนจำนวนมาก จึงถือว่าเป็นบะซีจ โดยที่พวกเขานั้นไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์กรบะซีจเลย”

หลังจากนั้น ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามจึงกล่าวอธิบายถึงลักษณะพิเศษที่สำคัญของวัฒนธรรมบาซีจ

ความเป็นประชานิยม  มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การไม่ละเลยปัญหาต่างๆของประเทศ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต มีความเข้าใจความหมายของการปฏิวัติอิสลาม เป็นนักการปฏิวัติ ไม่เพิกเฉยต่อกฏระเบียบ ไม่หนีห่างออกจากข้อกฎหมาย และไม่ฝ่าฝืนบรรทัดฐาน เหล่านี้ล้วนเป็นคุณลักษณะที่พิเศษที่เกี่ยวกับคำอธิบายวัฒนธรรมบะซีจ ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายผ่านไปแล้ว

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมในบริบทนี้ว่า “แน่นอนว่า บะซีจ อาจเป็นไปได้ที่จะคัดค้านบางสิ่งบางอย่างหรือบุคคลหรือข้อเท็จจริง แต่การคัดค้านนี้ ไม่ได้หมายถึงเป็นการทำลายบรรทัดฐาน เพื่อที่จะทำให้ศัตรูเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน”

การหลีกเลี่ยงจากงานแสดงที่ไม่มีเนื้อหาและการนำเสนอ การช่วยเหลือผู้อ่อนแอ การเผชิญหน้ากับผู้กดขี่ การหลีกเลี่ยงจากความเย่อหยิ่งและความทนงตน การออกห่างจากการเป็นหนี้ของการปฏิวัติอิสลาม ประเทศและประชาชาติ การยอมรับในหน้าที่ การหลีกเลี่ยงจากการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและขีดความสามารถขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และการไว้วางใจผู้อื่น เหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะพิเศษที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมบะซีจ ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึง

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวในประเด็นที่สำคัญว่า “วัฒนธรรมของบะซีจ ตามที่เราได้เห็นในการช่วยเหลือผู้คนในภัยพิบัติทางธรรมชาติ  คือ การรับใช้ต่อประชาชนทั้งหมดทุกคน นอกเหนือจากศาสนา ชาติพันธุ์ และรสนิยมทางการเมืองของประชาชน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ท่านอิมามโคมัยนี คือ ตัวอย่างของลักษณะพิเศษทั้งหมดของวัฒนธรรมบะซีจ โดยท่านกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี มักจะถือว่าตัวเองนั้นเป็นหนี้ประชาชนและด้อยกว่าพวกเขา และท่านอิมามนั้นไม่ใช้เวลาแม้แต่นาทีเดียวในชีวิต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเลย”

แง่มุมข้ามชาติและข้ามพรมแดน เป็นอีกหนึ่งลักษณะพิเศษของบะซีจ ซึ่งท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้กล่าวถึง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ การประกาศข่าวดีของท่านอิมามโคมัยนีที่เกี่ยวกับการก่อตัวของแกนหลักในการต่อต้านระดับโลก ได้เกิดขึ้นจริงในภูมิภาคทุกวันนี้ และแกนหลักดังกล่าวนี้ กำลังจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของภูมิภาคนี้ ซึ่งตัวอย่างของมัน ก็คือ  พายุแห่งอัลอักซอ นั่นเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงแผนการที่ล้มเหลวของพวกอเมริกาในการเปลี่ยนแปลงแผนที่ภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียตะวันตก โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในกรณีของเลบานอน พวกเขาบอกว่า พวกเขากำลังมองหาการจัดตั้ง ตะวันออกกลางใหม่  โดยยึดตามความต้องการและผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมายของพวกเขาเอง ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขาได้ประสบกับความล้มเหลว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มีตัวอย่างต่างๆมากมายจากความล้มเหลวของอเมริกาในการสร้างแผนที่ใหม่ของภูมิภาคนี้ โดยท่านกล่าวว่า “อเมริกาพยายามที่จะทำลายล้างกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ แต่หลังจากสงคราม 33 วัน กลุ่มฮิซบุลลอฮ์กลับมีความแข็งแกร่งมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมถึง 10 เท่า”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความล้มเหลวของอเมริกาในการกลืนกินอิรักโดยการสร้างรัฐบาลอเมริกาและการปกครองของนายพลอเมริกาหรือผู้นำพลเรือนชาวอเมริกา และแม้แต่ชาวอิรักที่อยู่ในเครือข่ายของสหรัฐอเมริกาในช่วงหลังการยึดครอง เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการก่อตั้งตะวันออกกลางใหม่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในอิรัก ซึ่งพวกเขาพยายามจะกลืนกินมัน ในปัจจุบัน แกนหลักของการต่อต้านได้เข้าสู่ประเด็นปาเลสไตน์แล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความล้มเหลวของพวกอเมริกาในการยึดครองซีเรียผ่านทางตัวแทน เช่น กลุ่มดาอิช(ไอซิส) และอัล-นุศเราะฮ์  เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความล้มเหลวของพวกเขา โดยท่านกล่าวว่า “แบบแผนอีกประการหนึ่งของพวกเขาในแผนตะวันออกกลางใหม่ คือ การยุติประเด็นปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นผลประโยชน์แก่รัฐเถื่อนที่ยึดครอง ในลักษณะที่ชื่อของปาเลสไตน์จะไม่คงอยู่อีกต่อไป แต่แผนการทรยศของทั้งสองรัฐบาลที่ได้รับการอนุมัติก่อนหน้านี้นั้นไม่เกิดขึ้นจริง และสถานการณ์และความก้าวหน้าของปาเลสไตน์ ฮามาส ญิฮาดอิสลาม และกลุ่มต่อสู้ต่างๆในปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้วได้เลย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวสรุป โดยเน้นย้ำว่า “แน่นอนว่า ภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกา แต่ทว่าเพื่อประโยชน์ของแนวร่วมแห่งการต่อต้าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า แผนที่ใหม่ที่มีลักษณะพิเศษต่างๆและกำลังจะเกิดขึ้นในเอเชียตะวันตก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ลักษณะพิเศษประการแรกของเอเชียตะวันตกใหม่ คือ การต่อต้านอเมริกา หมายถึง การปฏิเสธการครอบงำของอเมริกาเหนือภูมิภาค ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้หมายความถึง การตัดความสัมพันธ์ทางการเมืองของประเทศต่างๆกับสหรัฐอเมริกา แต่เป็นการสูญเสียอำนาจ และการครอบงำทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาต่างหาก และอย่างที่เราเห็นในบางประเทศที่เป็นผู้ปฏิบัติตามร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไปยังทิศทางเดียวกับสหรัฐฯ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การดำเนินการของสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อยึดครองภูมิภาคนี้ เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และการสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ เชื่อมโยงกับภูมิภาคนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สัญญาณที่ชัดเจนของการต่อต้านอเมริกาในภูมิภาคนี้ คือ เหตุการณ์อันลึกซึ้งในการสร้างประวัติศาสตร์ พายุแห่งอัลอักซอ ซึ่งแม้จะถือเป็นการต่อต้านระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ แต่ก็อยู่ในทิศทางของการต่อต้านอเมริกาด้วย เพราะว่า ตารางนโยบายของอเมริกาในภูมิภาคนี้กำลังเกิดความสับสนวุ่นวาย และด้วยความต่อเนื่องตารางนโยบายของอเมริกาในภูมิภาคนี้ก็จะสูญสลายไป”

การทำลายสองขั้วของรัฐเถื่อนและการยึดครองในภูมิภาค เป็นอีกประการหนึ่งของคุณลักษณะพิเศษของเอเชียตะวันตกใหม่ ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามชี้ให้เห็นและกล่าวว่า “ทั้งสองขั้ว อาหรับและไม่ใช่อาหรับ ชีอะฮ์และซุนนี และตำนานของจันทร์เสี้ยวของชีอะฮ์ได้สูญหายไป ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนเห็นได้ในกรณีของปาเลสไตน์ เพราะในช่วงเหตุการณ์พายุแห่งอัลอักซอ และก่อนหน้านั้น ผู้ที่ช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์มากที่สุด นั้นคือ ชาวชีอะฮ์ที่เป็นชาวอาหรับและไม่ใช่ชาวอาหรับ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ตรงกันข้ามกับสองขั้วของการยึดครอง คือ ชื่อของการต่อต้านและการยอมจำนน ที่ครอบคลุมภูมิภาคและในปัจจุบัน กระแสของการต่อต้าน หมายถึง การไม่ยอมรับผู้กดขี่ ผู้ที่ต้องการมากเกิน และการแทรกแซงของอเมริกา ถือเป็นกระแสที่ชัดเจนในภูมิภาค”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ เป็นอีกลักษณะพิเศษประการหนึ่งของเอเชียตะวันตกใหม่และที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ปัญหาปาเลสไตน์กำลังมุ่งไปสู่การแก้ไขปัญหา นั่นคือ การสถาปนาอธิปไตยของปาเลสไตน์ในดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงแผนการและตรรกะที่เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับของโลก และมีอารยธรรมของสาธารณรัฐอิสลามสำหรับปาเลสไตน์ นั่นหมายถึง การลงประชามติของชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด โดยท่านกล่าวว่า “นอกเหนือจากเหล่าผู้ยึดครอง ชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด ไม่ว่า ผู้อยู่อาศัยในปาเลสไตน์ หรือผู้อยู่อาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน ค่ายผู้ลี้ภัยและพื้นที่อื่นๆ ควรที่จะลงคะแนนเสียงให้กับการบริหารปาเลสไตน์ แน่นอนว่า บางคนบอกว่า ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์จะไม่ยอมรับกับแบบแผนนี้ แต่จะต้องบังคับให้ใช้แผนนี้ และถ้าหากมีการดำเนินตามแผนนี้ หากพระเจ้าทรงประสงค์ก็จะดำเนินต่อไป และหากแกนหลักของการต่อต้าน ด้วยการมีเจตจำนงและความมุ่งมั่นของพวกเขาอย่างจริงจัง จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นความคิดเห็นที่ผิดพลาดต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยที่บางคนในโลกบอกว่า จะต้องจับตัวชาวยิวและชาวไซออนิสต์โยนลงสู่ท้องทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ โดยท่านกล่าวว่า “ความคิดเห็นของสาธารณรัฐอิสลาม ไม่ใช่เป็นการโยนผู้หนึ่งผู้ใดลงสู่ท้องทะเล แต่ทว่า หมายถึง ควรที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลตามความคิดเห็นของประชาชนชาวปาเลสไตน์ และบุคคลเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจในรัฐบาลนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นย้ำให้เห็นว่า “เหตุการณ์ที่สำคัญและไม่เหมือนใครของพายุแห่งอัลอักซอ เป็นเหตุให้เป้าหมายต่างๆเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นและทำให้การเดินทางง่ายขึ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ซึ่งเส้นประสาทของเขาได้ถูกทำลายลงด้วยพายุลูกนี้ ได้เริ่มการทิ้งระเบิดเข้าใส่โรงพยาบาล โรงเรียน และกลุ่มประชาชน และการสังหารเด็ก ซึ่งแน่นอนว่า อาชญากรรมเหล่านี้ไม่สามารถและจะไม่สามารถกำจัดพายุอัลอักซอได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงชี้ความล้มเหลวของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในเป้าหมายทั้งหมดของตนในสงครามครั้งนี้ โดยท่านเน้นย้ำว่า “ความล้มเหลวนี้ไม่สามารถที่จะชดเชยได้ด้วยความโกรธแค้นและความโหดร้าย แต่การกระทำดังกล่าวได้นำความเสื่อมเสียมาสู่ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และสหรัฐอเมริกา และอาจถึงขั้นทำให้ตะวันตกเสื่อมเสียชื่อเสียงทางวัฒนธรรมและอารยธรรมอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวประณามจุดยืนของหนึ่งในผู้นำของชาติตะวันตกในการอ้างเหตุผลในการก่ออาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ภายใต้หัวข้อ “การป้องกันตัวเอง” โดยท่านกล่าวว่า “วัฒนธรรมและอารยธรรมตะวันตก คือ การที่พวกเขาเรียกการสังหารเด็กชาวปาเลสไตน์ 5,000 คน และการใช้ระเบิดฟอสฟอรัส ว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ด้วยเหตุนี้เอง วัฒนธรรมตะวันตก จึงเกิดความเสื่อมเสียในกรณีนี้อีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ภัยพิบัติในช่วง 50 วันที่ผ่านมา เป็นบทสรุปของอาชญากรรมรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในปาเลสไตน์ตลอดช่วง 75 ปี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การสังหารหมู่และการพลัดถิ่นของผู้คน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก และการตั้งถิ่นฐานโดยการทำลายบ้านเรือนและเรือกสวนไร่เกษตรของชาวปาเลสไตน์ เป็นหนึ่งในการก่ออาชญากรรมของผู้ยึดครองอย่างต่อเนื่องตลอด 75 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาก่ออาชญากรรมเหล่านั้นอย่างรัดกุมใน 50 วันที่ผ่านมานี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นย้ำว่า “พายุแห่งอัลอักซอไม่สามารถดับลงได้ และด้วยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า สถานการณ์นี้จะไม่ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

ส่วนสุดท้ายของสุนทรพจน์ของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำต่างๆหลายประการที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรบะซีจและสมาชิกบะซิจทั้งหมดทุกคน

การเสริมสร้างวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง การสร้างนวัตกรรมในประเด็นต่างๆที่สำคัญ การหลีกเลี่ยงจากการเป็นผู้เล่นในสนามของศัตรู การมีความหวังในอนาคตอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยความก้าวหน้าที่แท้จริงของประเทศจากมาตรการคว่ำบาตรและแรงกดดันที่รุนแรงที่สุด การหลีกเลี่ยงจากความเย่อหยิ่งการรู้จักบุญคุณในคุณค่าของการเป็นบะซีจ และการคำนึงถึงความไว้วางใจอันล้ำค่าจากพระเจ้า การมอบหมายต่อพระผู้เป็นเจ้า การสรรหากองกำลังที่วางแบบแผนควบคู่ไปกับกองกำลังปฏิบัติการ และการให้ความสำคัญกับการวางแผน การคิด และการออกแบบให้มากยิ่งขึ้น เหล่านี้ล้วนคือคำแนะนำของท่านผู้นำสูงสุดที่มีต่อบะซีจและบรรดาบะซีจ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงจากการแบ่งสองขั้วที่ผิดๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บางความคิดเห็นในโลกไซเบอร์และการแยกผู้คนออกจากกันโดยการใช้ชื่อ เช่น ผู้สนับสนุนสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ บรรดาผู้ที่ยอมรับศาสนาและหลักการ การปฏิวัติอิสลามและวิลายะตุลฟะกีฮ์ ไม่ว่า จะมีรสนิยมที่แตกต่างกัน ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพี่น้องของพวกท่าน และไม่ควรที่จะมีความแตกแยกกัน”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ นายพลฆุลามเรซา สุไลมานี ผู้อำนวยการองค์การบะซีจ มุซตัฎอะฟีน ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการล่าสุดขององค์การนี้ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ความมั่นคง และวิทยาศาสตร์ โดยถือว่า ญิฮาดตับยีน (การต่อสู้ในการแสดงออกและการอธิบาย) ญิฮาดแห่งการบริการ และ ญิฮาดแห่งความหวัง เป็นแนวทางหลัก 3 ประการของกลุ่มบะซีจ และผู้อำนวยการองค์การบะซีจ เน้นย้ำให้เห็นว่า กองกำลังนี้มีความพร้อมในการเผชิญหน้ากับทุกภัยคุกคามที่มีต่อประเทศและการต่อสู้กับอาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์

 

 

 

700 /