สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

เจ้าหน้าที่รัฐฯ ทูตานุทูตและผู้แทนประเทศอิสลาม และประชาชนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

โศกนาฏกรรมในฉนวนกาซ่าแสดงให้เห็นว่า ระเบียบของโลกในปัจจุบันไม่ถูกต้อง

บรรดาเจ้าหน้าที่และตัวแทนของรัฐบาล เอกอัครราชทูตและผู้แทนประเทศอิสลาม และกลุ่มประชาชนจากหลากหลายสาขาอาชีพ เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำถือว่า การตอบรับการเชิญชวนและการแต่งตั้งท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)เป็นศาสนทูต เป็นเหตุนำไปสู่ความเจริญเติบโตและความผาสุกในโลกนี้และปรโลก และท่านยังชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในฉนวนกาซ่าและการก่ออาชญากรรมอย่างต่อเนื่องของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวว่า “โศกนาฏกรรมในฉนวนกาซ่า ถือเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติและแสดงให้เห็นว่า ระเบียบโลกในปัจจุบันนี้นั้นไม่ถูกต้องและไม่ยั่งยืนโดยสิ้นเชิงและจะถูกทำลายลงอีกด้วย”

ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวแสดงความยินดีกับประชาชาติอิหร่านและชาวมุสลิมทุกคน เนื่องในโอกาสวันอีดมับอัษ ถือว่า เหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์อันมีศิริมงคลและยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยการแต่งตั้งท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่เป็นศาสนทูต ทำให้ความผาสุกของโลกนี้และปรโลก เป็นฉบับสมบูรณ์และเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งยังมีความเป็นนิรันดร์อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเกิดขึ้นของบิอ์ษัตท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมนที่เต็มไปด้วยการหลงทางและการเบี่ยงเบนของความโง่เขลาและการเปิดเผยถึงสัญญาณของการเบี่ยงเบนและการออกห่างจากอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดในวันนั้น เป็นเหตุการณ์อันพิเศษยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รูปแบบแผนของบิอ์ษัต คือ การเปิดทางสำหรับการสื่อสารของมนุษย์ที่ล้อมรอบด้วยกรอบแคบๆ ทางวัตถุกับโลกแห่งสิ่งเร้นลับและความศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือ ความศรัทธาและหลังจากนั้น การขัดเกลาจิตวิญญาณของมนุษย์ หมายถึง การยกระดับและความเจริญเติบโตของเขาโดยผ่านการขจัดข้อบกพร่องและความอัปลักษณ์ ความชั่วร้าย และความเท็จทั้งปวง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า  การขัดเกลาจิตวิญญาณ เป็นการขับเคลื่อนที่ครอบคลุมเพื่อปฏิรูปกิจการของบุคคลและสังคมในทุกมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และเพื่อปฏิเสธความอยุติธรรมและช่องว่างทางชนชั้นในทุกประเภท โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การขัดเกลาจิตวิญญาณ เป็นการจัดเตรียมพื้นฐานสำหรับการศึกษาของมนุษย์และสังคม เพื่อที่จะเสริมสร้างสังคมในด้านความรู้ และทางจิตวิญญาณ ทำให้เป็นบุคคลที่มีความสูงส่งของอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ยกหลักฐานอ้างอิงจากโองการต่างๆ ในอัลกุรอาน ถือว่า พันธกิจบิอ์ษัตและการเชิญชวนของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติ เป็นภารกิจในปัจจุบันและมีความนิรันดร์ตลอดช่วงกาลสมัยต่างๆ โดยท่านกล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ ด้วยเช่นกัน ท่านศาสดามุฮัมมัด ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ)  กำลังเป็นผู้ฝึกสอนและขัดเกลาจิตวิญญาณ ดังเช่น ที่ท่านศาสดาได้เชิญชวนประชาชนให้ออกห่างจากเจว็ดทั้งหลายในวันนั้น  ซึ่งในวันนี้ก็มีคำพูดและการเชิญชวนเช่นเดียวกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การต่อสู้กับนัฟซู(อัตตา)และการทำลายเจว็ดแห่งอารมณ์ใฝ่ต่ำ เป็นก้าวแรกในการตอบรับการเรียกร้องของศาสดา ผู้ทรงเกียรติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บางคนบอกว่า เพื่อที่จะปฏิรูปโลก พวกท่านควรจะต้องปฏิรูปตัวเองและสังคมของตนเองเสียก่อน นี่คือคำพูดที่ถูกต้อง เพราะแสดงให้เห็นถึงการนำเสนอตัวอย่างการปฏิรูปที่นำมาสู่โลกที่ดึงดูดผู้อื่นให้เป็นต้นแบบและเป็นแบบอย่าง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบังเกิดของการปฏิวัติอิสลาม เป็นผลจากการตอบรับของประชาชนที่มีต่อสารของบิอ์ษัตและการเชิญชวนของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ โดยท่านกล่าวว่า “ในความต่อเนื่อง ประชาชนของเรายังคงมีการขับเคลื่อนไปในเส้นทางที่ถูกต้องด้วยความสำเร็จและพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเช่นกัน และในขณะที่ตราบใดที่การตอบรับต่อการเชิญชวนของท่านศาสดายังคงดำเนินต่อไป การเติบโตและความก้าวหน้า ซึ่งไม่เพียงแต่การเติบโตทางจิตวิญญาณและทางปรโลกเท่านั้น ยังคงดำเนินต่อไป และเราสามารถที่จะบรรลุสู่ตัวอย่างที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิตทั้งในทางโลกนี้และโลกหน้าได้อีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงความแพร่หลายของการกดขี่และความริดรอนสิทธิอันชอบธรรมในโลกปัจจุบันนี้ ถือว่า การออกห่างจากสภาพนี้และการปรับปรุงการใช้ชีวิตของประชาชนในโลกนั้น ขึ้นอยู่กับการตอบรับคำเชิญชวนของท่านศาสดา และการใช้ประโยชน์จากการขัดเกลาจิตวิญญาณและคำสั่งสอนของท่านศาสดา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความรับผิดชอบของเรา คือ การสร้างตนเองและแสดงให้เห็นถึงการบริหารประเทศโดยยึดตามหลักศาสนาอิสลาม เป็นแบบอย่างที่เราได้ประสบความสำเร็จในด้านนี้ที่มีอิทธิพลต่อโลก แต่แน่นอนว่า เราก็มีข้อบกพร่องด้วยเช่นกัน”

ในอีกส่วนหนึ่งของการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องของโศกนาฏกรรมในฉนวนกาซ่า ถือว่า เหตุการณ์นี้เป็นโศกนาฏกรรมของโลกอิสลาม แต่ยังรวมถึงโศกนาฏกรรมของมวลมนุษยชาติอีกด้วย และแสดงให้เห็นว่า เป็นจุดสูงสุดของความไม่ถูกต้องของระเบียบโลกในปัจจุบันนี้ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในวันนี้ อเมริกา อังกฤษ และหลายประเทศในยุโรปและเหล่าพันธมิตรของพวกเหล่านี้ต่างอยู่เบื้องหลังมือของอาชญากรและเปื้อนเลือดของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ซึ่งเราสามารถเข้าใจได้ว่าระเบียบโลกในปัจจุบันนี้นั้นไม่ถูกต้องและไม่ยั่งยืนและจะถูกทำลายลงอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์ระเบิดในโรงพยาบาลและการสังหารประชาชนชาวกาซ่า เกือบ 30,000 คน ได้สร้างความอับอายทางวัฒนธรรมและอารยธรรมของพวกตะวันตก โดยท่านกล่าวเสริมว่า เบื้องหลังของอาชญากรรมเหล่านี้ คือ เงินตรา อาวุธยุทโธปกรณ์ และความช่วยเหลือทางการเมืองของพวกสหรัฐฯ และดังที่รัฐเถื่อนไซออนิสต์ต่างออกมายอมรับเองว่า พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป โดยปราศจากอาวุธยุทโธปกรณ์ของอเมริกา พวกเขาก็ไม่ได้ที่จะก่อสงครามต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง พวกสหรัฐฯจึงเป็นผู้กระทำความผิดและผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ขมขื่นนี้ด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การถอนตัวของชาติมหาอำนาจโลกและเหล่าผู้สนับสนุนชาติตะวันตก ออกจากเหตุการณ์นี้ เป็นวิธีการแก้ปัญหาการสิ้นสุดวิกฤตในฉนวนกาซา โดยท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า “บรรดานักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์นั้นมีความสามารถที่จะการจัดการในภาคสนามได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากการโจมตีของพวกเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า ภาระหน้าที่ของรัฐบาลต่างๆ คือ การตัดความช่วยเหลือทางการเมือง การโฆษณาชวนเชื่อ และความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงการไม่ส่งสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นหน้าที่ของประชาชาติต่างๆ ที่จะต้องกดดันรัฐบาลให้ปฏิบัติหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ระอีซี ประธานาธิบดี ได้ขึ้นกล่าอธิบายถึงเหตุการณ์บิอ์ษัต เป็นการสำแดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า กล่าวคือ การชี้นำ และการเชิญชวนของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ผู้ทรงเกียรติสู่การเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว พร้อมกับการเชิญชวนสู่การใช้ความคิด ความยุติธรรม และคุณค่าอันศักดิ์สิทธิ์ และเขาได้ชี้ให้เห็นถึงความประจวบเหมาะของสิบวันแห่งรุ่งอรุณของการปฏิวัติอิสลามกับวันอีดมับอัษ โดยท่านประธานาธิบดีกล่าวว่า “การตอบรับคำเชิญชวนของท่านอิมามโคมัยนี สู่ความเป็นบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง การต่อสู้กับความยากจน การทุจริตคอรัปชั่น และการเลือกปฏิบัติของชาวอิหร่าน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการตอบรับสารของบิอ์ษัตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)”

ท่านประธานาธิบดีระอีซี ยังถือว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการสังหารเด็กในฉนวนกาซ่า เป็นสาเหตุของการสูญเสียของการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของชาติมหาอำนาจตะวันตกและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความไร้ประสิทธิภาพขององค์การสหประชาชาติ โดยเขากล่าวเสริมว่า “เรามั่นใจว่าเลือดของบรรดาผู้พลีชีพในฉนวนกาซ่า และปาเลสไตน์ จะเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และระเบียบโลกที่ไม่ยุติธรรมในปัจจุบันนี้”

ประธานาธิบดีระอีซี ถือว่า นโยบายและรูปแบบแผนงานภายในของรัฐบาล มุ่งขยายความยุติธรรม การชดเชยความล้าหลัง และจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า “วิธีการแก้ปัญหาทางเดียว คือ อาศัยเจตจำนงภายใน และรัฐบาลจะไม่มองมือของพวกต่างชาติในการแก้ปัญหาของประเทศเป็นอันขาด”

 

700 /