สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประชาชนชาวแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออกหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

"เราไม่ควรนิ่งเฉยในการเผชิญหน้ากับศัตรู"


ประชาชนชาวแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออก หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำ ถือว่า การมองมายังตนเอง เพื่อเสริมสร้างจุดแข็ง แสวงหาข้อบกพร่อง  และการกำจัดจุดอ่อนและการมองมายังศัตรูอย่างชาญฉลาดและไม่นิ่งเฉย เป็นสองภารกิจที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง และท่านได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของความเป็นเอกภาพของชาติและการเลือกตั้งวันที่ 11 อิสพันด์ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาทั้งหลายและการปฏิรูปการงานต่างๆ โดยท่านผู้นำยังได้เชิญชวนให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่สำคัญระดับชาตินี้อย่างกระตือรือร้นและอธิบายถึงประเด็นต่างๆที่สำคัญเกี่ยวกับวิธีการเลือกผู้สมัครที่ถูกต้อง ความเชื่อมั่น ความปลอดภัยของการเลือกตั้ง และเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดศีลธรรมและจริยธรรมในการเลือกตั้ง โดยท่านผู้นำถือว่า แนวร่วมชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ จะต่อต้านการเลือกตั้งของอิหร่านอย่างที่ไม่ต้องสงสัยใดๆทั้งสิ้น และท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า “การเลือกตั้งถือเป็นสัญลักษณ์ของระบอบสาธารณรัฐ และด้วยเหตุผลนี้ เหล่ามหาอำนาจ จอมอหังการ และอเมริกา จึงต่อต้านสาธารณรัฐและความเป็นอิสลามด้วยเช่นกัน ทั้งยังต่อต้านการเลือกตั้งและการเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้นของประชาชนในการเลือกตั้งอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีอเมริกาคนก่อนที่มีต่อชาวอิหร่านสำหรับการไม่ให้เข้าร่วมในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ โดยท่านกล่าวว่า “ประธานาธิบดีคนนั้นได้ช่วยเหลืออิหร่านโดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะว่า ตราบใดที่ประชาชนดื้อรั้นและต่อต้านพวกเหล่านี้มากสักเพียงใด การเข้าร่วมของประชาชนก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเพียงนั้น ด้วยเหตุผลนี้เอง พวกอเมริกาจึงไม่พูดจาแบบนี้อีกต่อไป แต่พวกเขาต่างพยายามกีดกันและให้ผู้คนสิ้นหวังจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเลือกตั้งเป็นเสาหลักของระบบสาธารณรัฐอิสลามและเป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “เราทุกคนจะต้องเข้าร่วมในการเลือกตั้ง ส่วนผู้ที่กำลังหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ การเลือกตั้งนั้นถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ฉะนั้นจึงควรที่ไปเลือกตั้ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเลือกผู้ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ทุกคนที่ผ่านการคัดกรองของสภาผู้พิทักษ์นั้น เป็นผู้ที่เหมาะสม แต่ด้วยเหตุผลทางสติปัญญาแล้ว จะต้องเลือกผู้ที่เหมาะสมกว่าในหมู่พวกเขา และเพื่อที่จะรู้จักผู้ที่เหมาะสมกว่า ประชาชนควรมีการตรวจสอบให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และหากไม่สามารถกระทำได้ ให้มุ่งเน้นความสนใจไปยังบุคคลที่เชื่อถือได้ในการปฏิบัติงาน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ภารกิจของวิทยากรและบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ คือ การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วมการเลือกตั้ง โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “ผู้ที่ลงในสนามของการเลือกตั้ง ควรงดเว้นจากการผิดศีลธรรม การพูดจาที่ไม่ดี การดูถูก การใส่ร้ายผู้อื่นในโฆษณาและทางสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนการแบล็กเมล์ และการแสดงเนื้อหาที่ไม่ตรงกับความจริง การหลีกเลี่ยงจากการโกหก เพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน เพราะว่า สิ่งเหล่านี้ จะนำไปสู่การปฏิเสธความโปรดปรานและความเป็นศิริมงคลของพระผู้เป็นเจ้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงการระมัดระวังความถูกต้อง ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความต้องการอย่างต่อเนื่องจากบรรดาเจ้าหน้าที่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ในช่วงหลายทศวรรษเหล่านี้ ไม่เคยมีการละเมิดการเลือกตั้งในแง่ที่ศัตรูอ้างสิทธิ์ และคำแถลงของพวกเขานั้นไม่มีมูลความจริง ในกรณีเหล่านี้ มีผู้ร้องเรียนพบว่ามีการฝ่าฝืนบ้าง หลังจากที่มีการสอบสวน แต่การฝ่าฝืนเหล่านี้ก็ไม่เคยทำให้ผลโดยรวมนั้นมีการเปลี่ยนแปลง และการเลือกตั้งในประเทศก็ดำเนินไปอย่างถูกต้อง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมาโดยตลอด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเป็นเอกภาพของประชาชาติอิหร่าน เป็นกุญแจที่นำไปสู่ชัยชนะและความต่อเนื่องของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านเน้นย้ำว่า “ในอนาคต เราจะต้องดำเนินตามเส้นทางนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างต่อเนื่อง และความแตกต่างทางด้านรสนิยมและการเมือง ไม่ควรที่จะมีอิทธิพลในเอกภาพแห่งชาติของอิหร่านในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวขอบคุณต่อประชาชนทั่วประเทศอย่างจริงใจสำหรับการเดินขบวนในวันที่ 22บาห์มัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชาติได้แสดงให้เห็นถึงความอุตสาหะ และความภาคภูมิใจในเมืองต่างๆทั้งเมืองเล็กและเมืองใหญ่ และหมู่บ้านทั้งหมด ตลอดจนผู้ที่ต้องการทำให้หัวใจของประชาชนอิหร่านต้องแตกสลายและวันที่ 22 บาห์มัน ต้องถูกลืมเลือน ทำให้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ด้วยการเทอดเกียรติของผู้จัดงานที่เสียสละตนเพื่อความปลอดภัยในการเดินขบวน ถือว่า เป็นการเดินขบวนที่เต็มไปด้วยความหมาย เพื่อเพิ่มแรงจูงใจและขวัญกำลังใจให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเข้าร่วมแห่งชาติครั้งนี้ ได้สูดลมหายใจของเลือดใหม่ในสังคม ในประชาชาติ และ สำหรับเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ชาวทับรีซ ในวันที่ 29 บาห์มัน 1356 (ปฏิทินอิหร่าน) เป็นเหตุการณ์ที่สร้างประวัติศาสตร์ โดยท่านกล่าวว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ปล่อยให้การลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุมในวันที่ 19 เดย์ ไม่มีผลลัพท์ และด้วยการแพร่ขยายของจิตวิญญาณแห่งการลุกขึ้นต่อสู้และการปฏิวัติที่ร้อนแรงทั่วประเทศ กลายเป็นการปูทางพื้นฐานสำหรับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม เมื่อวันที่ 22 บาห์มัน 1357 (ปฏิทินอิหร่าน) และยังเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของอิหร่านอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรู้จักหน้าที่ของตนอย่างทันท่วงทีและการลุกขึ้นต่อสู้และการดำเนินการอย่างทันเวลาในการปฏิบัติหน้าที่นั้น เป็นลักษณะเด่นทั้งสองประการของเหตุการณ์ 29 บาห์มัน ในเมืองทับรีซ โดยท่านกล่าวว่า “พวกเตาวาบีนนั้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และดำเนินการอย่างตรงต่อเวลา และหายตัวไปในเหตุการณ์อาชูรอ และด้วยเหตุผลนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการลุกขึ้นต่อสู้ในบั้นปลาย และการเป็นชะฮีดของทั้งหมด ก็ไม่ได้มีผลต่อประวัติศาสตร์แต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประชาชนชาวอาเซอร์ไบจาน เป็นสัญลักษณ์ของความกระดากอาย ความรัก ความหลงใหล และความศรัทธาในประวัติศาสตร์และในยุคร่วมสมัยและในหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราจะต้องได้รับบทเรียนจากคุณลักษณะต่างๆของเหตุการณ์ 29 บาห์มันในเมืองทับรีซ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการเติบโตและความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นของการปฏิวัติอิสลามในอายุที่เป็นศิริมงคล 45 ปี ท่ามกลางพายุแห่งเหตุการณ์ แผนการสมรู้ร่วมคิด และการปลุกปั่นก่อวิกฤต โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติ นั่นหมายถึง ประชาชาติและระบอบ เมื่อผ่านพ้นความยากลำบากก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีพลังอำนาจและมีมุมมองและอิทธิพลที่เจาะลึกมากขึ้น และเราในวันนี้ จะต้องมีความเข้าใจหน้าที่หลักและมีดำเนินการให้ทันต่อเวลา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมองมายังตัวเองและการมองมายังศัตรู เป็นสองหน้าที่พื้นฐานของทุกคน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เราจะต้องมีการประเมินตนเองและศัตรูอย่างถูกต้อง และการเพิกเฉยต่อหน้าที่นี้ ถือเป็นความหายนะครั้งใหญ่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของการรู้จักตนเอง คือ การเห็นคุณค่า การรักษา การเสริมสร้างจุดแข็ง การซ่อมแซม และการกำจัดจุดอ่อน และท่านยังอธิบายถึงจุดแข็งของการปฏิวัติอิสลามและประชาชาติ โดยท่านกล่าวว่า “การกำจัดระบอบเผด็จการ ผู้กดขี่ข่มเหง ผู้ลิดรอนสิทธิ ไร้ศรัทธา ทุจริตและระบอบกษัตริย์เป็นความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติอิสลาม เป็นระบอบที่ไม่ได้ให้สิทธิ ความเคารพ หรือบทบาทใดๆ แก่ประชาชน และในหลายกรณี ในทางปฏิบัติแล้ว มีการปกครองโดยคำสั่งและเจตจำนงของพวกอเมริกาและสถานทูตอังกฤษ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ถูกต้องแล้ว บัดนี้ ประชาชนนั้นเป็นเจ้าของประเทศและระบอบที่ตรงกันข้ามกับระบบที่เสื่อมทราม และพวกเขายังกำหนดทิศทางของประเทศโดยเลือกเจ้าหน้าที่หลักของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสร้างความมั่นใจในตนเองของชาติและความสามารถในด้านต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การป้องกัน การแพทย์ และสาขาอื่นๆ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความเชื่อมั่นในตนเองนี้ต่างจากยุคของฏอฆูต(ทรราช) ที่ปรากฏให้เห็นในเวทีระหว่างประเทศและการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจทั้งหลายด้วยเช่นกัน”

การขยายตัวของความคิดและค่านิยมในการปฏิวัติอิสลาม โดยเฉพาะในภูมิภาค (ตะวันออกกลาง) เป็นความสำเร็จบางส่วนในการป้องกันการเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตก ในฐานะวัฒนธรรมที่โดดเด่น การก่อตั้งกลุ่มประชาชนที่เกิดขึ้นเองในทุกสาขา และการขยายการให้บริการไปยังทุกภูมิภาคของประเทศ และการฝึกฝนนักวิทยาศาสตร์นานาชาติในด้านต่างๆ ถือเป็นความสำเร็จอีกประการหนึ่งที่ท่านผู้นำได้ประเมินการขับเคลื่อนของการปฏิวัติอิสลาม

ในบริบทเดียวกันนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บางคนมีความกังวลอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการออกไปของผู้เชี่ยวชาญบางคน แต่ในอีกด้านหนึ่งของประเด็นนี้ คือ อำนาจของอิหร่านในการส่งออกผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายอีกส่วนหนึ่งของมิติต่างๆของหน้าที่ในการมองมายังตนเอง กล่าวคือ การรู้จักจุดอ่อนและความพยายามที่จะกำจัดจุดอ่อนนั้น โดยท่านกล่าวว่า “นอกจากจุดแข็งแล้ว เรายังมีจุดอ่อนที่มีไม่น้อยอีกด้วย เช่น ความจริงที่ว่า เรายังล้าหลังในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ถึงแม้ว่าจะมีผลงานที่ดีก็ตาม แต่เราก็ยังห่างไกลจากจุดที่ต้องการทั้งด้านความยุติธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และตุลาการ ซึ่งเป็นคำขวัญอันดับต้นๆ และเป้าหมายที่สูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม”

การล้าหลังในการขจัดผลร้ายทางสังคม เช่น การหย่าร้าง ยาเสพติด ปัญหาศีลธรรม ตลอดจนการห่างไกลจากวิถีชีวิตแบบอิสลาม รวมถึงการหลีกเลี่ยงความฟุ่มเฟือยและการเป็นชนชั้นสูง ถือเป็นจุดอ่อนอื่น ๆ ที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การดำเนินการและความพยายามเพื่อแก้ไขเป็นหน้าที่ของทุกคน

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังอธิบายถึงหน้าที่ของทุกคนในการเสริมสร้างจุดแข็งและกำจัดจุดอ่อนนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาล รัฐสภา และศูนย์ราชการอื่นๆ ว่า มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทำงานอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยทางการปฏิบัติ ความซื่อสัตย์ต่อประชาชน และการคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติมากกว่า ผลประโยชน์ส่วนตัว โดยท่านกล่าวเสริมว่า “วันนี้ ต้องขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศ ได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ แต่คุณลักษณะเชิงบวกเหล่านี้ ควรเผยแพร่ไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกระดับ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า หน้าที่ของกลุ่มชนชั้นนำทางปัญญา คือ ความรู้สึกรับผิดชอบในการกำหนดช่องว่างและช่องโหว่ของอันตราย และการให้ความช่วยเหลือทางความคิดแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ และในการอธิบายหน้าที่อันมากมายของเยาวชนทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ มีเยาวชนต่างๆในระดับหัวกะทิเป็นจำนวนมากที่กำลังปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ บรรดาเยาวชน ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนทางสังคมจะต้องเตรียมความพร้อมและคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการเข้าร่วมในภาคสนามต่างๆในวันพรุ่งนี้ และเพื่อปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบอันหนักหน่วงของตนเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน้าที่ของประชาชนทั่วไปในการรักษาเอกภาพของชาติและการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและผู้ให้บริการและการงานที่ดี โดยท่านกล่าวว่า “ทุกคนจะต้องให้ความสนใจในการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ ว่าเป็นการกระทำญิฮาดในการเผชิญหน้ากับศัตรู เพราะว่า พวกเขาไม่ต้องการให้หน้าที่เหล่านี้บรรลุผล และด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงต่อต้านการงานที่ดีใดๆ ในสาธารณรัฐอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม หลังจากอธิบายถึงมิติต่างๆของหน้าที่หลักในการมองยังตนเองแล้ว ยังกล่าวอธิบายถึงหน้าที่ๆสำคัญอันดับที่สอง หมายถึง การมองยังศัตรู โดยท่านกล่าวว่า “เราต้องไม่เพิกเฉยต่อศัตรูและกลอุบายและเครื่องมือต่างๆของศัตรู และในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สมมติว่า ศัตรูจะอ่อนแอและไร้ความสามารถและเราอย่าได้หวาดกลัวการข่มขู่ ความกดดัน และการขู่กรรโชกจากศัตรูเป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลของกลอุบายและความกดดันอันน่าวิตกของผู้ประสงค์ร้ายต่ออิหร่าน คือ จุดแข็งและความก้าวหน้าของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราไม่ควรนิ่งเฉยในการเผชิญหน้ากับศัตรู เพราะนโยบายของพวกเขา คือ การทำให้อีกฝ่ายต้องพบกับการดูถูกและการทำให้อีกฝ่ายจะต้องอับอาย”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน อาลิฮาชิม ตัวแทนของผู้นำสูงสุดประจำแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออกและอิมามประจำวันศุกร์แห่งเมืองทับรีซ ถือว่า ประชาชนชาวอาเซอร์ไบจาน เป็นผู้ถือธงชัยแห่งการต่อสู้ในการปฏิวัติอิสลามของประชาชาติ ซึ่งได้เอาชนะเหนือศัตรูและเหนือเหล่าผู้ที่สร้างความแตกแยกด้วยเช่นกัน

 

 

700 /