สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

บรรดาเจ้าหน้าที่ฮัจญ์ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประชาชาติอิสลามคือ ความเป็นเอกภาพ

บรรดาเจ้าหน้าที่ฮัจญ์ และกลุ่มผู้แสวงบุญ ณ บัยตุลลอฮ์อัลฮะรอม  เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า เป้าหมายของพระผู้เป็นเจ้าที่กำหนดพิธีฮัจญ์นั้น คือ การมอบแบบอย่างที่สมบูรณ์และมีทิศทางในการบริหารจัดการมนุษยชาติ และท่านกล่าวเสริมว่า “โครงสร้างภายนอกของพิธีฮัจญ์ มีลักษณะทางการเมืองโดยสมบูรณ์ ขณะที่เนื้อหาภายในของแต่ละส่วน ล้วนมีความเป็นจิตวิญญาณและการปฏิบัติอิบาดัตอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ผลประโยชน์ของมนุษยชาติทั้งหมดได้รับการตอบสนอง และในปัจจุบันนี้ ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประชาชาติอิสลาม คือ ความเป็นเอกภาพและการเสริมสร้างพลังร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของโลกอิสลาม ซึ่งหากมีเอกภาพเช่นนี้ ปัญหาในฉนวนกาซ่าและเยเมนก็คงจะไม่เกิดขึ้น”

ในช่วงเริ่มของคำปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความเสียใจอีกครั้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดในเมืองบันดัรอับบาส โดยท่านผู้นำขอให้พี่น้องร่วมชาติผู้ประสบภัยและครอบครัวมีความอดทนและความสงบนิ่ง พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานรางวัลอันมีค่ายิ่งนักสำหรับความอดทนต่อเหตุการณ์ต่างๆที่มนุษย์ต้องเผชิญ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเสียหายต่อหน่วยงานต่างๆจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและไม่ใช่ธรรมชาติ สามารถที่จะฟื้นฟูได้ด้วยความพยายามขององค์กรต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แต่สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดในหัวใจ คือ การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัว ซึ่งทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นความเศร้าสลดของพวกเราทุกคน”

ในการคำปราศรัยต่อไป ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีมะอ์ริฟัตและความเข้าใจในเป้าหมายและมิติต่าง ๆ ของพิธีฮัจญ์สำหรับบรรดาผู้แสวงบุญ ณ บัยตุลลอฮ์อัลฮะรอม คือ อารัมภบทเบื้องต้นในการปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้อย่างถูกต้อง และโดยท่านผู้นำได้อ้างอิงจากโองการมากมายในคัมภีร์อัลกุรอาน โดยท่านกล่าวว่า “การใช้คำว่า นาซ (มนุษย์) ในหลายโองการที่เกี่ยวข้องกับพิธีฮัจญ์ แสดงให้เห็นว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดพิธีฮัจญ์ไว้เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เพียงสำหรับชาวมุสลิมเท่านั้น ดังนั้น การประกอบพิธีฮัจญ์อย่างถูกต้องจึงเป็นการรับใช้ต่อมนุษยชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการอธิบายเชิงความรู้เกี่ยวกับพิธีฮัจญ์ ถือว่า นี่เป็นภารกิจเพียงหนึ่งเดียวที่มีรูปร่างและโครงสร้างที่เป็นการเมืองโดยสมบูรณ์ เพราะว่า ในแต่ละปีผู้คนจะถูกรวมตัวกันในสถานที่และเวลาที่แน่นอน เพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะ ซึ่งการกระทำนี้มีอัตลักษณ์ทางการเมืองอย่างแท้จริง

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “นอกจากโครงสร้างที่เป็นการเมืองแล้ว เนื้อหาของแต่ละส่วนของพิธีฮัจญ์ยังมีความหมายทางจิตวิญญาณและการปฏิบัติศาสนกิจอย่างลึกซึ้ง โดยแต่ละส่วนมีนัยสัญลักษณ์และบทเรียนสำหรับชีวิตมนุษย์ในหลายมิติด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายถึงบทเรียนของการเฏาะวาฟว่า เป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการหมุนเวียนรอบแกนหลักของเตาฮีด (ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า) โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเฏาะวาฟ สอนให้มนุษย์รู้ว่า การปกครอง ชีวิต เศรษฐกิจ ครอบครัว และทุกด้านของชีวิตจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของเตาฮีด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น โลกก็จะปราศจากความโหดร้าย การสังหารเด็ก และความโลภ และโลกจะกลายเป็นสวนพฤกษาที่สวยงาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การซะแอระหว่างศอฟาและมัรวะฮ์  ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องวิ่งฝ่าภูเขาแห่งปัญหาต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่หยุดนิ่ง หรือมีความลังเลใจ

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเดินทางไปยังทุ่งอะรอฟาต มัชอัร และมินา  เป็นบทเรียนสำหรับการเคลื่อนไหวตลอดเวลาและการหลีกเลี่ยงความเฉื่อยชา พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การเชือดสัตว์พลี  ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ว่าบางครั้งมนุษย์จะต้องยอมเสียสละสิ่งที่ตนเองรักที่สุด หรือแม้กระทั่งการเสียสละตัวเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การขว้างเสาหินที่ญะมะเราะฮ์ เป็นการย้ำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าให้มนุษย์รู้จักศัตรู ทั้งจากญินและมนุษย์ และเมื่อใดก็ตามที่เขาพบกับชัยฏอน ก็ต้องทำลายมัน

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสวมใส่เสื้อผ้าอิห์รอม เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนน้อมถ่อมตนและการทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า โดยท่านกล่าวเสริมว่าว่า “การกระทำทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นการกำหนดทิศทางสำหรับการชี้นำการดำเนินชีวิตของมนุษย์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อ้างอิงถึงโองการในคัมภีร์อัลกุรอาน โดยท่านระบุว่า เป้าหมายของการรวมตัวในพิธีฮัจญ์ คือ การทำความเข้าใจและการเข้าถึงผลประโยชน์อันหลากหลายของมนุษย์ โดยท่านกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ ไม่มีผลประโยชน์ใดสำคัญไปกว่าความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชาติอิสลาม และหากมีเอกภาพ ประชาชาติอิสลามก็จะไม่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมในฉนวนกาซ่าและปาเลสไตน์ และเยเมนก็จะไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความแตกแยกของประชาชาติอิสลาม คือ ช่องทางให้พวกนักล่าอาณานิคม สหรัฐอเมริกา อิสราเอล และพวกที่ต้องการครอบงำ แสวงหาผลประโยชน์เหนือประชาชาติได้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยเอกภาพของประชาชาติ จะมีความมั่นคง ความก้าวหน้า การร่วมมือ และสามารถที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ และเราควรมองโอกาสแห่งฮัจญ์ด้วยสายตาเช่นนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บทบาทและหน้าที่ของรัฐบาลอิสลาม โดยเฉพาะรัฐบาลเจ้าภาพนั้นยิ่งใหญ่และมีความโดดเด่น ในการอธิบายความจริงและเป้าหมายของฮัจญ์ พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ของประเทศต่าง ๆ นักวิชาการ นักคิด นักเขียน และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อสาธารณชน นั้นมีหน้าที่ในการอธิบายถึงข้อเท็จจริงของพิธีฮัจญ์ต่อประชาชน”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุด ฮุจญะตุลอิสลาม ซัยยิด อับดุลฟัตตาฮ์ เนาวาบ ผู้แทนของท่านผู้นำสูงสุดในกิจการฮัจญ์และการซิยาเราะฮ์ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แสวงบุญฮัจญ์ชาวอิหร่าน ได้กล่าวถึงคำขวัญของพิธีฮัจญ์ปีนี้ว่า ฮัจญ์ คือ การดำเนินชีวิตตามอัลกุรอาน ความร่วมมือกันของอิสลาม และการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ผู้ถูกกดขี่ พร้อมทั้งเขาได้อธิบายถึงรูปแบบแผนงานสำหรับผู้แสวงบุญในปีนี้

นายบัยยาต ผู้อำนวยการองค์การฮัจญ์และการซิยาเราะฮ์ กล่าวว่า ปีนี้ จะมีชาวอิหร่านจำนวน 86,000 คน เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ในรูปแบบของ 574 คาราวาน จาก 23 สนามบินทั่วประเทศ

การประกอบพิธีอุมเราะฮ์ จำนวน 210,000 ครั้งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่และผู้รับใช้ผู้แสวงบุญ การจัดสรร 2 คาราวานสำหรับชาวอิหร่านในต่างประเทศ และ ความพร้อมอย่างเต็มที่ของเจ้าหน้าที่และผู้รับใช้ฮัจญ์ในการให้บริการแก่ผู้แสวงบุญชาวอิหร่าน เป็นหัวข้อที่สำคัญในการกล่าวรายงานของบรรดาเจ้าหน้าที่ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้

         

700 /