สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุดเข้าร่วมในงานรำลึกครบรอบ 36 ปีแห่งการอสัญกรรมของอิมามโคมัยนี

“การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมคือ จุดสำคัญและเป็นกุญแจหลักที่ศัตรูต่างพุ่งเป้าโจมตี"

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าประชาชนจำนวนมหาศาลที่เข้าร่วมอย่างคึกคัก ณ ฮะร็อมอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฎ.) โดยท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลที่สัมผัสได้ของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งท่านได้เน้นย้ำว่า “ท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ ได้กำหนดหลักการของการสืบสานการเคลื่อนไหวของการปฏิวัติและประเทศชาติ ด้วยความมีเกียรติและความมั่นคง ภายใต้แนวคิดพื้นฐานของเอกราชแห่งชาติ ด้วยสติปัญญาและความรอบคอบที่มาจากศรัทธา และประเทศอิหร่านอันเป็นทรงเกียรติ จะสามารถบรรลุถึงความก้าวหน้า ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ความมั่นคงที่ยั่งยืน การยกระดับสถานะในเวทีระหว่างประเทศ และอนาคตอันสดใส ด้วยการอาศัยหลักการเหล่านี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวถึงประเด็นระดับชาติในเรื่องนิวเคลียร์ โดยท่านผู้นำถือว่า ความสามารถของอิหร่านในการมีวงจรพลังงานนิวเคลียร์ที่สมบูรณ์และน่าภาคภูมิใจ อันเป็นผลจากความเชื่อของประชาชนและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในแนวคิด เรามีความสามารถ และท่านยังได้ชี้ให้เห็นว่า ข้อเสนอของสหรัฐอเมริกาในโครงการนิวเคลียร์นั้น เป็นการขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับหลักการที่ปลดล็อกทาง เรามีความสามารถ พร้อมทั้งท่านได้เน้นย้ำว่า “อุตสาหกรรมนิวเคลียร์อันยิ่งใหญ่ หากไม่มีการเสริมสมรรถนะ ก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง และอเมริกา รวมถึงระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ควรรู้ว่า พวกเขาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายหลักของตนในการล้มเลิกอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของอิหร่านและไม่อาจที่จะกระทำความผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อิมามโคมัยนี คือ สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ของระบอบสาธารณรัฐอิสลามที่มีความมั่นคง เติบโต และเข้มแข็ง โดยท่านกล่าวว่า “36 ปี หลังจากการอสัญกรรมของท่านอิมาม ผลกระทบจากการปฏิวัติอิสลามของท่านยังปรากฏอยู่ในประเด็นต่างๆ เช่น การล่มสลายของเหล่ามหาอำนาจ การก่อรูปของระเบียบโลกหลายขั้ว การเสื่อมถอยอย่างหนักของสถานะและอิทธิพลของอเมริกา การเพิ่มขึ้นของความเกลียดชังต่อรัฐเถื่อนไซออนิสต์ แม้แต่ในยุโรปและในสหรัฐอเมริกา และการเคลื่อนไหวของประชาชาติจำนวนมากที่ตื่นตัวและปฏิเสธค่านิยมแบบชาติตะวันตก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความประหลาดใจของโลกตะวันตกที่มีต่อการระดมประชาชนโดยนักการศาสนา การที่ท่านอิมามและประชาชนสามารถเอาชนะระบอบชาห์ปาห์ลาวีที่มีอาวุธครบมือได้ด้วยมือเปล่า และการกวาดล้างการมีอยู่ของอเมริกาและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ปล้นสะดมในอิหร่าน  โดยท่านกล่าวว่า “ความประหลาดใจครั้งที่สองของชาติตะวันตก คือ การสถาปนาระบอบสาธารณรัฐอิสลามด้วยการพินิจพิเคราะห์และการติดตามผลอย่างจริงจังของท่านอิมาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวต่อว่า พวกอเมริกาเคยหวังว่าจะมีรัฐบาลที่ยอมจำนนขึ้นมามีอำนาจในอิหร่าน เพื่อกลับมาสู่อิทธิพลและผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรมอีกครั้ง และท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า ท่านอิมามได้ประกาศจุดยืนของตนอย่างชัดเจนในการจัดตั้งระบอบรัฐอิสลามและศาสนาในอิหร่าน ทำให้ความหวังของอเมริกาต้องพังทลาย และแผนการสมคบคิดของศัตรูก็เริ่มต้นจากจุดนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ขนาด ความหลากหลาย และความรุนแรงของแผนการทำลายล้างของตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกาที่มีต่อการปฏิวัติอิสลามนั้น ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติสมัยใหม่ โดยท่านกล่าวว่า การปลุกปั่นชนกลุ่มน้อย การติดอาวุธให้กับกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติและฝ่ายซ้าย การสนับสนุนซัดดัมผู้กระหายเลือดให้โจมตีอิหร่าน และการลอบสังหารบุคคลใกล้ชิดท่านอิมาม ซึ่งต่อมาก็ขยายไปสู่การลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ในหลายทศวรรษหลังจากนั้นอย่างต่อเนื่อง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การคว่ำบาตรอย่างรอบด้านที่ยังคงดำเนินอยู่  การโจมตีของทหารอเมริกาที่เมืองตะบัส และการยิงเครื่องบินโดยสารอิหร่านเหนืออ่าวเปอร์เซีย เป็นอีกหนึ่งในการกระทำอันชั่วร้ายของเหล่าศัตรูต่อประชาชนและการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “เบื้องหลังแผนการเหล่านี้ คือรัฐบาลมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยเฉพาะอเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ตลอดจนหน่วยข่าวกรองอย่างซีไอเอของสหรัฐฯ เอ็มไอ6 (MI6) ของอังกฤษ และมอสสาดของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของการกระทำเหล่านี้ คือ การทำให้สาธารณรัฐอิสลามต้องอ่อนแอลง โดยท่านเน้นย้ำว่า “ประชาชนและรัฐฯ สามารถอดทนต่อแผนการร้ายเหล่านี้ และสามารถล้มล้างแผนการกว่า 1,000 แผนได้อย่างสำเร็จ และไม่เพียงแต่จะไม่อ่อนแอลง แต่สาธารณรัฐอิสลามยังคงเดินหน้าด้วยพลังอำนาจ และจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคงในอนาคตอย่างต่อเนื่อง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า การให้อารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผลทางสติปัญญา คือ ภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงและเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การปฏิวัติต่างๆ รวมถึงการปฏิวัติในฝรั่งเศส เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางที่แท้จริง โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยสติปัญญาที่ได้รับจากพระเจ้าและศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ ได้ปกป้องการปฏิวัติอิสลามจากภัยร้ายนี้ และไม่ยอมให้การให้อารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผลทางสติปัญญา จะทำให้การปฏิวัติและขบวนการของประชาชนต้องเบี่ยงเบนออกจากเส้นทางเดิม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หลักการของการปกครองโดยนักปราชญ์  (วิลายะตุลฟะกีฮ์) และเอกราชแห่งชาติ  คือ สองเสาหลักแห่งสติปัญญาของท่านอิมาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เสาหลักของวิลายะตุลฟะกีฮ์  คือ สิ่งที่ปกป้องด้านศาสนาและการป้องกันไม่ให้การปฏิวัติที่เกิดมาจากแรงจูงใจและการเสียสละแห่งศรัทธาของประชาชนต้องพบกับการเบี่ยงเบน ส่วนเอกราชแห่งชาติ คือ การรวบรวมความคิดและเป้าหมายของท่านอิมามไว้อย่างมากมาย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การตีความคำว่า เอกราชของชาติ เป็นการโดดเดี่ยวตนเองและการตัดขาดความสัมพันธ์กับโลก เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดและเป็นตรรกะวิบัติประเภทหนึ่ง พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “เอกราชของชาติ หมายถึง การที่อิหร่านและประชาชนของตน จะต้องยืนหยัดได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ไม่ต้องรอไฟเขียวหรือการตื่นตระหนกต่อไฟแดงจากอเมริกาหรือประเทศอื่นใด และการตัดสินใจ รวมถึงดำเนินการต่าง ๆ ด้วยการพิจารณาของตนเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงการเห็นด้วยหรือการคัดค้านของเหล่าชาติมหาอำนาจ”

ท่านผู้นำสูงสุดได้เน้นย้ำให้เห็นถึงหลักการแรกๆซึ่งได้มาจากคำสอนของท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่องเอกราชของชาติ นั่นคือ หลักการที่ว่า “เรามีความสามารถ” โดยท่านกล่าวว่า “ตรงกันข้ามกับระบอบทรราช ที่ทำให้ประชาชนต่างเชื่อว่า เรานั้นไม่มีความสามารถ ขณะท่ท่านอิมามได้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตนเองและหลักการ “เรามีความสามารถ” ให้เกิดขึ้นในอัตลักษณ์ของชาติอิหร่านและในหัวใจของบรรดาเยาวชนและนักการเมืองทั้งหลาย ซึ่งความก้าวหน้าที่น่าประหลาดใจ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การป้องกันประเทศ การพัฒนา และการสร้างประเทศ อันเป็นผลมาจากการมีจิตวิญญาณและความเชื่อนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่ศัตรูพยายามที่จะลบล้างจิตวิญญาณ เรามีความสามารถ ออกจากประชาชนอิหร่านนั้น เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งขององค์ประกอบเชิงอัตลักษณ์นี้ และท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ขณะนี้ ในประเด็นนิวเคลียร์และในการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่โดยที่มีโอมานเป็นสื่อกลาง แผนการที่อเมริกาเสนอมา ถือเป็นการต่อต้านต่อหลักการ เรามีความสามารถอย่างสิ้นเชิง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ถือว่า หลักการ การยืนหยัดต่อสู้ (มุกอวะมะฮ์)  หมายถึง การปฏิบัติตามความศรัทธาและไม่ยอมจำนนต่อการบีบบังคับและการใช้อำนาจของเหล่ามหาอำนาจต่างๆ  เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของเอกราชแห่งชาติ และท่านได้เน้นย้ำให้เห็นถึงการยกระดับขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ เป็นหลักสำคัญอีกประการหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่า “ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลาม ขีดความสามารถในการผลิตด้านการป้องกันประเทศของเรานั้นมีน้อยมาก จนเกือบจะเป็นศูนย์ แต่ด้วยการส่งเสริมและการเน้นย้ำจากท่านอิมาม การเพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศได้เริ่มต้นขึ้น จนในปัจจุบันนี้ ผู้ประเมินขีดความสามารถของกองทัพโลกได้ยอมรับว่า อิหร่านถือเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคที่เกี่ยวกับบางด้านของการป้องกันประเทศ และบางครั้งก็รู้สึกประหลาดใจกับขีดความสามารถของอิหร่าน ถึงแม้จะอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรก็ตาม”

หลัก การอธิบาย (ตับยีน) ก็เป็นองค์ประกอบอีกประการหนึ่งในแนวคิดและการปฏิบัติของท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อการธำรงไว้ซึ่งเอกราชของชาติอิหร่าน ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ให้เห็นถึง โดยท่านกล่าวว่า “ตั้งแต่เริ่มต้นขบวนการต่อสู้ในปี 1341 (ค.ศ. 1962) จนถึงปีสุดท้ายของชีวิต ท่านอิมามได้อธิบายประเด็นสำคัญต่างๆ แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบันทึกต่างๆ ของท่านในปีสุดท้ายที่เขียนถึงประชาชน สถาบันศาสนา และนักศึกษามหาวิทยาลัย ถือเป็นผลงานเขียนที่ดีที่สุดของท่าน แน่นอนว่า การอธิบายของท่านอิมามไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการใช้เหตุผลทางสติปัญญาและสามารถโน้มน้าวสติปัญญาได้ กล่าวคือ ท่านได้พูดกับทั้งหัวใจและสมองของผู้คนโดยพร้อมกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า หลัก การยืนหยัด (อิสติกอมะฮ์)  หมายถึง การไม่ละทิ้งและความสม่ำเสมอในการเดินทางบนเส้นทางที่เที่ยงตรง เป็นหลักการอีกประการหนึ่งของความหมายของเอกราชในมุมมองของท่านอิมาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ได้ทำให้จิตใจและความคิดของประชาชนและเยาวชนคุ้นเคยและแนบแน่นกับหลักการเหล่านี้ และรับรองอัตลักษณ์ของการปฏิวัติอิสลามและการดำเนินการบนเส้นทางที่เที่ยงตรงด้วยสติปัญญาที่ตั้งอยู่บนหลักการนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความหมายของเหตุผลทางสติปัญญา ที่บางคนพูดถึงนั้นคือการยอมแพ้และการก้มหัวให้กับอเมริกาและพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่ โดยท่านกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เหตุผลทางสติปัญญาที่แท้จริง เหตุผลที่แท้จริง คือ สิ่งที่ท่านอิมามสามารถกระทำได้ หมายถึง การทำให้ประชาชนและประเทศมีความแข็งแกร่งและมีพลัง ทำให้อิหร่านมีเกียรติในระดับโลก และเปิดทางไปสู่อนาคตอันสดใสสำหรับประชาชน ซึ่งหากพระเจ้าทรงประสงค์ ด้วยการเคลื่อนไหวระดับชาตินี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องในแนวทางที่วางรากฐานโดยเหตุผลทางสติปัญญาของท่านอิมาม ก็จะนำไปสู่ความมั่นคงที่ยั่งยืน ความก้าวหน้า ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และความก้าวหน้าระดับนานาชาติของประเทศมากยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวส่วนหนึ่งของคำปราศรัยของท่านเพื่ออธิบายถึงประเด็นนิวเคลียร์แห่งชาติและกล่าวถึงประเด็นต่างๆ เพื่อให้ประชาชนรับทราบ โดยท่านกล่าวว่า “อิหร่านสามารถเข้าถึงวัฏจักรเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ได้อย่างครบถ้วน ด้วยเกียรติแห่งปัญญาของบรรดาเยาวชนและความอุตสาหะพยายามของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายของตนเอง ในขณะที่ประเทศที่มีความสามารถเช่นนี้ในโลกมีอยู่อย่างจำกัดเป็นอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ไม่ถือว่า ประโยชน์ของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์จำกัดไว้เพียงแค่การผลิตไฟฟ้าที่สะอาดและราคาถูกเท่านั้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ เป็นอุตสาหกรรมหลักและแม่บท และตามรายงานของผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ซึ่งควรนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิศวกรรมต่างๆ เช่น ฟิสิกส์นิวเคลียร์ วิศวกรรมพลังงาน วิศวกรรมวัสดุ และเทคโนโลยีที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญในอุปกรณ์ทางการแพทย์ อวกาศ และเซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความแม่นยำ ต่างก็ขึ้นอยู่หรือได้รับอิทธิพลจากอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า ประโยชน์ของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม ทั้งในด้านการวินิจฉัยและการรักษาโรคร้ายแรง รวมถึงผลกระทบของอุตสาหกรรมนี้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมและสิ่งแวดล้อม เป็นอีกหนึ่งด้านของการประยุกต์ใช้ โดยท่านกล่าวว่า “การเสริมสมรรถนะยูเรเนียม คือ จุดสำคัญและเป็นกุญแจหลักที่เหล่าศัตรูของเราต่างพุ่งเป้าโจมตียังจุดนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ที่ยิ่งใหญ่จึงจะไม่มีประโยชน์หากขาดความสามารถในการเสริมสมรรถนะ โดยท่านกล่าวว่า “หากไม่มีการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม เราจะต้องพึ่งพาผู้ที่มีมันเพื่อจัดหาเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าของเรา เปรียบเสมือนกับการที่เรามีน้ำมัน แต่ต้องถูกห้ามสร้างโรงกลั่นและการผลิตน้ำมันเบนซินขึ้นเอง และจะต้องพึ่งพาประเทศอื่นในการจัดหาน้ำมันเบนซินตามเงื่อนไขของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “หากไม่มีการเสริมสมรรถนะและความสามารถในการผลิตเชื้อเพลิง แม้จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 100 แห่งก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าจะต้องพึ่งพาอเมริกาในการจัดหาเชื้อเพลิง และพวกเขาอาจตั้งเงื่อนไขหลายสิบประการสำหรับการจัดหานั้น ดังที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1380 เมื่อต้องการเชื้อเพลิง 20% ด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ของสองประเทศมิตรของอิหร่านที่เข้ามาเป็นสื่อกลางตามคำร้องขอของประธานาธิบดีอเมริกาในขณะนั้น เพื่อแลกเปลี่ยนวัสดุที่เสริมสมรรถนะ 3.5% กับเชื้อเพลิงอีก 20% เพื่อใช้ภายในประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ของเราต่างเห็นชอบกับการแลกเปลี่ยน และข้าพเจ้ากล่าวว่า ฝ่ายตรงข้ามจะต้องขนส่งเชื้อเพลิง 20% ไปยังท่าเรือบันดัรอับบาส และเราจะทำการแลกเปลี่ยนหลังจากการทดสอบ แต่เมื่อพวกเขาเห็นถึฃความแม่นยำและการยืนยันของเรา พวกเขากลับคำพูดและไม่ส่งเชื้อเพลิง 20% มาให้เราเลย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ในระหว่างการปะทะทางการเมืองนั้น นักวิทยาศาสตร์ของเราได้ผลิตเชื้อเพลิง 20% ขึ้นภายในประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า จุดประสงค์หลักและข้อเรียกร้องของอเมริกาในประเด็นนิวเคลียร์ คือ การทำให้อิหร่านหมดสิทธิ์ในอุตสาหกรรมนี้และผลประโยชน์ต่างๆ ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งทำให้นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์รุ่นใหม่หลายพันคนจะต้องตกงานและสิ้นหวัง โดยท่านกล่าวว่า “เหล่าผู้นำอเมริกา ผู้หยาบคายและไร้มารยาทยังคงกล่าวเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยถ้อยคำหลากหลายรูปแบบด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเป็นจริงของข้อเรียกร้องที่ก้าวร้าวของอเมริกา คือ การต่อต้านความก้าวหน้าและความพึ่งพาตนเองของประชาชนอิหร่าน และท่านได้เน้นย้ำว่า เรากล่าวถึงความจริงเหล่านี้เพื่อให้ประชาชนอิหร่านได้รับรู้ในระดับหนึ่ง และบรรดาผู้รับผิดชอบก็ควรที่จะอธิบายให้มากขึ้นด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า คำตอบของเราต่อคำพูดที่เหลวไหลของรัฐบาลอเมริกาที่มีแต่เสียง แต่ไร้ความรอบคอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว และท่านยังได้กล่าวถึงคำแสดงความไร้ความสามารถของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า หากเรามีความสามารถ เขาจะรื้อระบบนิวเคลียร์ของอิหร่านออกจนหมด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “วันนี้ ระบบนิวเคลียร์ของเรามีความแข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งขึ้น และเช่นเดียวกับที่อดีตประธานาธิบดีคนนั้นยอมรับว่า เขาไม่สามารถกระทำอะไรได้ ขณะที่เหล่าผู้นำรัฐเถื่อนไซออนิสต์และอเมริกาในปัจจุบัน ก็ควรรู้ไว้ว่า พวกเขานั้นไม่สามารถกระทำอะไรที่ผิดพลาดในเรื่องนี้ได้เลยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำพูดแรกที่สาธารณรัฐอิสลาม จะพูดกับฝ่ายอเมริกาและผู้คัดค้านอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของอิหร่าน คือ การตั้งคำถามต่อพื้นฐานทางกฎหมายของข้ออ้างต่างๆ ของพวกเขา โดยท่านกล่าวว่า “คำพูดของเราที่มีต่อพวกเขา คือ การมีอำนาจในการตัดสินใจของประชาชนอิหร่าน เป็นของพวกเราเอง พวกท่านเป็นใคร และมีฐานะทางกฎหมายอะไรถึงเข้ามาแทรกแซงว่า เราควรมีหรือไม่มีสิทธิในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมด้วย?

ในช่วงท้ายของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงอาชญากรรมที่น่าสะพรึงกลัวและเหลือเชื่อของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในกาซ่าด้วยการใช้ศูนย์แจกอาหารเป็นข้ออ้างแล้วกราดยิงเข้าใส่ประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “พฤติกรรมอันต่ำช้า ชั่วร้าย โหดเหี้ยม และชั่วช้าในระดับนี้ ถือว่า ช่างน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อเมริกาเป็นหุ้นส่วนในการก่ออาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงยืนยันว่า อเมริกาควรที่ถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า เป็นภาระหน้าที่อันหนักอึ้งของรัฐบาลอิสลาม และท่านได้เน้นย้ำให้เห็นว่า วันนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับความเกรงใจ ความระมัดระวัง ความเป็นกลาง หรือความนิ่งเงียบ พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “หากรัฐบาลอิสลามใดให้การสนับสนุนต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใด ไม่ว่าจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ การปิดกั้นเส้นทางช่วยเหลือประชาชนปาเลสไตน์ หรือการให้เหตุผลในสนับสนุนอาชญากรรมของไซออนิสต์ รัฐบาลนั้นจะต้องรู้แน่นอนว่า จะมีตราบาปแห่งความอัปยศติดอยู่บนหน้าผากของตนตลอดไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การร่วมมือกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์จะได้รับผลกรรมอย่างรุนแรงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ในโลกนี้ ประชาชนก็จะไม่มีวันลืมการทรยศเหล่านี้เช่นกัน อีกทั้งการพึ่งพายังระบอบไซออนิสต์ยังไม่เคยนำมาซึ่งความมั่นคงให้แก่รัฐบาลใดเลย เพราะว่า ระบอบรัฐเถื่อนนี้ตามคำตัดสินอันเด็ดขาดของพระผู้เป็นเจ้ากำลังอยู่ในเส้นทางแห่งการล่มสลาย และหากพระองค์ทรงประสงค์ วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้านี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงวันอะรอฟะฮ์ว่า เป็นฤดูใบไม้ผลิแห่งการวิงวอน การนอบน้อม และการพึ่งพิงต่อพระเจ้า และมีการแนะนำให้ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเยาวชน จะต้องใช้โอกาสของวันอะรอฟะฮ์ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ด้วยการอ่านบทดุอาอ์อันเปี่ยมด้วยความรักของอิมามฮุเซน (อ.) และอ่านดุอาอ์บทที่ 47 จากเศาะฮีฟะฮ์ซะญาดียะฮ์เท่าที่มีความสามารถ อีกทั้งการวิงวอนต่อพระเจ้า

ในช่วงเริ่มต้นของพิธีการนี้ ฮุจญะตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ซัยยิดฮะซัน โคมัยนี ได้กล่าวสุนทรพจน์ว่า การปฏิวัติอิสลาม เป็นการปฏิวัติของประชาชนอย่างมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเขากล่าวว่า “เกียรติ และศักดิ์ศรี ได้สร้างอัตลักษณ์ให้กับประชาชน และเราจะต้องระวังอยู่เสมอว่า ตามที่ท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่และผู้นำสูงสุดของเราได้เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า เกียรติและศักดิ์ศรีแห่งอิสลาม  และ ศักดิ์ศรีแห่งชาติ  ของเรา จพต้องไม่ถูกบั่นทอนภายใต้เงื่อนไขใดๆก็ตาม”

ผู้ดูแลฮะร็อมอันบริสุทธิ์ของอิมามโคมัยนี ยังกล่าวถึงการตื่นตัวและการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติอิสลาม ทั้งในเลบานอน อิรัก เยเมน และปาเลสไตน์ว่า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และกล่าววิพากษ์วิจารณ์ความนิ่งเงียบของบางประเทศที่มีต่ออาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในกาซ่า โดยเขากล่าวว่า “วันนี้ เสียงของท่านอิมามยังคงดังกึกก้องในหูของทุกคนว่า  อิสราเอลจะต้องถูกลบออกและสูญสลายไป  เพราะว่า เป็นเสมือนเนื้อมะเร็งร้ายแห่งภูมิภาคนี้

700 /