ประธานรัฐสภาและบรรดาสมาชิกรัฐสภา เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า สภานิติบัญญัติทั่วโลกนั้น มีน้ำหนักทางกฎหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่ท่านได้เน้นย้ำว่า “เกณฑ์วัดที่แท้จริงในการตัดสินค่าของรัฐสภาต่างๆ ทั่วโลก น้ำหนักทางกฏหมาย คือ เป้าหมาย การกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว และจุดยืนของสภานั้นๆ ซึ่งในมิตินี้ รัฐสภาอิสลามแห่งอิหร่านมีสถานะและเกียรติที่ไม่มีการเปรียบเทียบใดในโลก แน่นอนว่า การรักษาและการดำรงไว้ซึ่งสถานะอันทรงเกียรตินี้ มีข้อกำหนด ข้อพึงปฏิบัติและไม่พึงปฏิบัติ ซึ่งบรรดาสมาชิกรัฐสภา จะต้องยึดมั่นและมีการปฏิบัติตาม”
ในช่วงเริ่มต้นของคำปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงวันอีดเฆาะดีรว่า เป็นวันอันยิ่งใหญ่ของโลกอิสลาม และเปี่ยมไปด้วยเนื้อหาทางจิตวิญญาณของความรู้แห่งอิสลาม พร้อมทั้งท่านยังกล่าวแสดงความยินดีแก่ประชาชนอิหร่านเนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ รวมถึงวันคล้ายวันประสูติของอิมามฮาดี (อ.) อีกด้วย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สถานะทางกฎหมายของสภานิติบัญญัติต่างๆ ทั่วโลกนั้น มีรากฐานมาจากคุณค่าของกฎหมายอันยิ่งใหญ่ และท่านกล่าวเสริมว่า “กฎหมาย ถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการดำรงชีวิตทางสังคมของมนุษย์ และตามหลักเหตุและผลแล้ว กฎหมายที่ถูกบัญญัติโดยตัวแทนของประชาชนนั้นมีความชอบธรรมและมีคุณค่ามากกว่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า น้ำหนักที่แท้จริงของรัฐสภาแต่ละแห่งทั่วโลก ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยท่านกล่าวว่า “จุดยืนและสถานภาพของรัฐสภาที่มีพื้นฐานจากศาสนา ประกอบด้วยบุคคลผู้มีจริยธรรม มุ่งมั่นในความยุติธรรม ปกป้องผู้ยากไร้ และต่อต้านในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้กดขี่ มีสถานะที่สูงส่งเหนือกว่าสภาที่ประกอบด้วยบุคคลไร้คุณธรรม มีการส่งเสริมความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ และการสนับสนุนอาชญากร เช่น ฆาตกรในกาซ่า ถือว่า มีความแตกต่างจากพื้นดินจนถึงฟากฟ้า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “ด้วยเกณฑ์วัดนี้เอง รัฐสภาอิสลามแห่งอิหร่าน จึงมีสถานะที่ไม่อาจเปรียบเทียบกับบรรดารัฐสภาทั่วโลก และด้วยเหตุผลนี้ ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) จึงเรียกรัฐสภานี้ว่า เป็นแก่นแท้ของคุณงามความดีของประชาชน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการทำงานและแนวคิดทางการเมืองที่มีความแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัยของรัฐสภา โดยท่านกล่าวว่า “แม้จะมีความหลากหลายในแนวทางการทำงานและแนวคิดทางการเมืองในแต่ละสมัยของรัฐสภา แต่สถานะที่โดดเด่นและพิเศษของรัฐสภาอิสลามแห่งอิหร่านยังคงมีความแตกต่างจากรัฐสภาอื่นๆ ทั่วโลก และประชาชนทุกคนต่างมีหน้าที่ให้ความเคารพต่อรัฐสภานี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รัฐสภาอิสลามโดยพื้นฐานแล้ว คือสถานที่แห่งการอะมั้ลอิบาดัต และเป็นมัสยิดที่ถูกสถาปนาขึ้นบนพื้นฐานของการมีตักวา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในแง่ทางธรรมชาติอันทรงเกียรติและความบริสุทธิ์ของรัฐสภาอิสลาม ในทุกความคิด การกระทำ ความพยายาม และการบัญญัติข้อกฎหมายในสถานที่แห่งนี้ จึงถือเป็นการกระทำอิบาดัตประเภทหนึ่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงประเด็นที่สำคัญว่า “ความประเสริฐ ความบริสุทธิ์และสถานะอันสูงส่งของรัฐสภานี้ จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ หากปราศจากการยึดมั่นในข้อกำหนดและพันธะหน้าที่ ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบหลักของบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่จะต้องนำมาปฏิบัติ”
หลังจากท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อ พณฯ กอลีบาฟ ในการดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาอีกสมัย โดยท่านผู้นำได้กล่าวถึงข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติเพื่อรักษาเกียรติและสถานะของรัฐสภาว่า “บรรดาสมาชิก จะต้องมีความรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าและกฎหมาย มุ่งเน้นในความพึงพอใจของพระองค์และผลประโยชน์ของประเทศ และจะต้องไม่ยอมจำนนต่อผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและอิทธิพลของคำพูดของบรรดาสมาชิกรัฐสภา และเรียกร้องให้พวกเขาตระหนักถึงผลกระทบของคำพูดและการกระทำของตนในสังคม ตลอดจนการระมัดระวังไม่ให้มีการนำคำพูดเหล่านั้นไปใช้ในทางที่เป็นภัยต่อประเทศ รัฐ และผลประโยชน์แห่งชาติ โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “คำพูดที่กล่าวจากธรรมาสน์ของรัฐสภา ควรเป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความหวังและความสงบนิ่ง ซึ่งแตกต่างจากช่วงเวลาหนึ่งในอดีตที่รัฐสภาเป็นเวทีแห่งความขัดแย้ง แต่ในวันนี้ รัฐสภาไม่ได้เป็นต้นเหตุของความแตกแยกอีกต่อไป และค่อนข้างสร้างความสงบได้ในระดับหนึ่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวอีกประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวกับข้อกำหนดการรักษาสถานภาพที่แท้จริงของรัฐสภา โดยท่านเน้นย้ำให้เห็นว่า คำพูดของบรรดาสมาชิกรัฐสภา ควรสะท้อนถึงความมีเหตุผลและความยึดมั่นในหลักการของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจของใครบางคนในมุมใดมุมหนึ่งของโลก ไม่ควรมีอิทธิพลต่อคำพูดของเรา แต่สิ่งที่ควรปรากฏเด่นชัดในคำพูดของบรรดาสมาชิกรัฐสภา คือ การยึดมั่นในหลักการและอุดมการณ์ และเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่น อำนาจ และเจตจำนงของชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดและความกล้าหาญอย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้ของประชาชาติอิหร่าน ในการเผชิญหน้ากับคำพูดเหลวไหลและการพยายามครอบงำจากเหล่าชาติมหาอำนาจ รวมถึงการเข้าร่วมอย่างคึกคักและเป็นจำนวนมากของประชาชนในพิธีรำลึกการอสัญกรรมของท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ และการเดินขบวนในวันที่ 22 บะฮ์มัน แม้จะมีการโฆษณาชวนเชื่อในการต่อต้านอิมามและการปฏิวัติอิสลามเป็นจำนวนมากก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการมีอำนาจและความตั้งใจแน่วแน่ของชาติ โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “การมีอำนาจนี้ควรปรากฏให้เห็นในจุดยืนของบรรดาสมาชิกรัฐสภา และในการอนุมัติหรือการปฏิเสธข้อกฎหมายและบุคคลต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า คุณลักษณะเหล่านี้ก็มีอยู่ในรัฐสภาในระดับที่น่าพอใจอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า การรักษาความเป็นเอกภาพของชาติในวันนี้ มีความจำเป็นมากกว่าทุกช่วงเวลา และการหยิบยกความขัดแย้งในเรื่องความเห็นส่วนตัว การเมือง หรือการบริหารงาน ขึ้นมาเป็นการทะเลาะหรือโจมตีกันนั้น เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าในทุกเวลา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ดังที่เราได้กล่าวซ้ำหลายครั้ง เสียงของประเทศในประเด็นสำคัญ ควรเป็นเสียงเดียว และประชาชน รวมถึงฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารของประเทศ ควรเป็นเสมือนมือเดียวกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความร่วมมือและการประชุมร่วมกันของประธานทั้งสามสภา เป็นพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในทางตรงกันข้ามกับบางช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งคำแนะนำให้แก้ไขปัญหาในการประชุมและการหลีกเลี่ยงการนำเอาความขัดแย้งออกสู่สาธารณชนไม่ได้รับการตอบรับที่ดี ขณะที่ในปัจจุบันนี้ มีความสอดคล้องกันในระดับหนึ่งระหว่างทั้งสามสภา ซึ่งควรที่จะรักษาไว้ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และไม่ให้รัฐสภาต้องกลายเป็นเครื่องมือสะท้อนถึงความขัดแย้ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในการให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงบางประการ ถือว่า การเริ่มต้นทำงานของรัฐสภาสมัยสิบสอง ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเริ่มต้นของแบบแผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่เจ็ด เป็นโอกาสที่ดีในการติดตามผลอย่างจริงจัง และท่านผู้นำได้แสดงความไม่พอใจต่อการไม่บรรลุเป้าหมายของแบบแผนก่อนหน้านี้อย่างที่ควรจะเป็น พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ระดับการบรรลุผลของแบบแผนฉบับที่เจ็ด ควรอยู่ที่อย่างน้อย 90 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่า การดำเนินการตามแต่ละข้อของแบบแผนดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องมีข้อกฎหมายและข้อบังคับรองรับ ซึ่งรัฐสภาจะต้องมีการจัดเตรียมในส่วนนี้ให้ครบถ้วน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงการติดตามปัญหาที่สำคัญของข้อกฏหมายและปรับปรุงกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งท่านได้ให้คำแนะนำแก่บรรดาสมาชิกรัฐสภาในการเข้าร่วมการประชุมรัฐสภาและคณะกรรมาธิการต่าง ๆ อย่างกระตือรือร้น โดยมีความพร้อมและศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดี พร้อมทั้งท่านยังกล่าวเสริมว่า “อีกหนึ่งข้อแนะนำ คือ ความร่วมมือกับรัฐบาล ซึ่งรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือก็คือ การหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเสียเวลาไปกับการถูกซักถามหรือถูกเรียกตัวเข้ารัฐสภามากเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ ถือเป็นหนึ่งในข้อร้องเรียนของทั้งรัฐบาลชุดก่อนและชุดปัจจุบัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงสิทธิของรัฐสภาในการซักถามและเรียกตัวบรรดารัฐมนตรี รวมถึงการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐบาลในกรณีที่อ้างอิงจากรายงานทางการและน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “การดำเนินการด้านการกำกับดูแล ควรที่จะจำกัดเฉพาะในกรณีที่จำเป็นและมีความสำคัญเท่านั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การปรับเปลี่ยนร่างข้อกฎหมายทางเศรษฐกิจมากเกินไปในรัฐสภา จะเป็นทำลายโครงสร้างหลักของร่างข้อกฎหมายเหล่านั้น โดยท่านกล่าวว่า “โครงสร้างของร่างงบประมาณ ก็ต้องได้รับการคุ้มครองด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่ได้หมายถึง การปฏิเสธสิทธิของรัฐสภาในการแก้ไขข้อบกพร่องของร่างงบประมาณจากรัฐบาล แต่จะต้องรักษาโครงสร้างหลักไว้ และหลีกเลี่ยงจากการใส่แหล่งรายได้ที่ไม่เป็นจริงหรือไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้จริงลงในงบประมาณ”
ในประเด็นข้อพึงปฏิบัติอีกประการหนึ่งเพื่อรักษาเกียรติของรัฐสภาอิสลาม ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้เน้นย้ำให้เห็นถึงคำแนะนำที่ให้ไว้มาโดยตลอดเกี่ยวกับความจำเป็นในการดำเนินตามแนวทางของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “รัฐสภา จะต้องเป็นรัฐสภาแห่งการปฏิวัติอิสลาม แต่ความเป็นนักปฏิวัติอิสลาม ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การส่งเสียงดังเท่านั้น และจะต้องระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดในความเข้าใจของคำว่านักปฏิวัติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเป็นนักปฏิวัติ หมายถึง การดำเนินตามแนวทางของอุดมการณ์แห่งการปฏิวัติอิสลาม และการป้องกันไม่ให้เบี่ยงเบนออกจากแนวทางนี้ จะต้องมีความกล้าหาญและความชัดเจนในการแสดงความเห็นอย่างถูกต้อง สุภาพ และให้เกียรติ และจะต้องไม่ปล่อยให้อคติส่วนตัวหรือความเห็นทางการเมืองมาแทรกแซงการทำงาน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตามที่ท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ โลกนี้คือ สถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงสถิตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราควรมุ่งหวังเพื่อแสวงหาความพึงพอใจของพระองค์ และการแสดงจุดยืนของการปฏิวัติอิสลามอย่างชัดเจน กล้าหาญ และเราจะใช้สิ่งนี้ เป็นแนวทางในการตัดสินใจ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อถ้อยคำที่โง่เขลา หรือข้อกล่าวหาที่มุ่งร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามอย่างเป็นเอกภาพ เข้มแข็ง และเด็ดขาด ถือเป็นอีกหน้าที่ประการหนึ่งของบรรดาสมาชิกรัฐสภา และเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเป็นนักปฏิวัติอิสลาม
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯ กอลีบาฟ ประธานรัฐสภาชุดที่ 12 ได้กล่าวถึงผลงานสำคัญของผู้แทนประชาชนในปีที่ผ่านมา และแบบแผนงานของรัฐสภาในอนาคต โดยเขากล่าวว่า พื้นฐานของเราสำหรับการร่วมมืออย่างมีความรับผิดชอบกับรัฐบาล คือ นโยบายทั่วไปของรัฐ และความพยายามในการทำให้แบบแผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 7 บรรลุผล”
พณฯ กอลีบาฟ ยังถือว่า การกำกับดูแลของรัฐสภาในด้านการจัดการตลาด เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการบริหารประเทศ พร้อมทั้งเขากล่าวว่า “การดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษากำลังซื้อ การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนและจัดหาเงินตราสำหรับภาคการผลิต การแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลด้านพลังงาน และการหาแนวทางสำหรับการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย เป็น 4 หน้าที่อันสำคัญและการจัดลำดับความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆประชาชน
ประธานรัฐสภา ยังกล่าวถึงความสำคัญของกฎหมายเชิงปฏิบัติทางยุทธศาสตร์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และการสนับสนุนของรัฐสภาต่อจุดยืนที่มีเกียรติของหน่วยงานทางการทูตของประเทศในการเจรจาที่กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน โดยเขากล่าวว่า “การผ่านข้อกฎหมายภาษีเพื่อควบคุมการเก็งกำไร การอนุมัติหลักการของโครงการระดับชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ การปรับปรุงข้อกฎหมายโดยใช้ระบบกฎหมายยารและเครื่องมืออัจฉริยะ การแก้ไข้ข้อกฎหมายการกำกับดูแลพฤติกรรมของบรรดาสมาชิกรัฐสภา และการจัดระบบอัจฉริยะในด้านงบประมาณและการตรวจสอบการเงินของประเทศ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของผลงานของรัฐสภาชุดที่ 12
เขายังได้กล่าวถึงการตรวจสอบบัญชีอย่างเต็มรูปแบบของสำนักงานตรวจเงินแห่งชาติต่อบริษัทของรัฐฯ การมีบทบาทอย่างแข็งขันของบรรดาสมาชิกรัฐสภาในเวทีทางการทูตระหว่างรัฐสภา และการติดตามอย่างต่อเนื่องและโดยตรงกับประชาชนในหลากหลายกลุ่มทั่วประเทศ ถือเป็นอีกประเด็นที่สำคัญของรายงานที่เขานำเสนอ