ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวปราศรัยกับประชาชน โดยผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ โดยท่านผู้นำถือว่า เอกภาพและความสามัคคีอย่างต่อเนื่องของประชาชาติอิหร่าน เป็นหมัดเหล็กที่กระหน่ำใส่ศีรษะของศัตรู พร้อมทั้งท่านได้อธิบายถึงเหตุผลที่ประชาชาติอิหร่าน ผู้กล้าหาญไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันและการข่มขู่ของศัตรูที่ต้องการให้ยกเลิกเทคโนโลยีอันเป็นประโยชน์ในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม โดยท่านเน้นย้ำว่า “การเจรจาที่สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายกำหนดผลลัพธ์ไว้ล่วงหน้าและบังคับให้ปฏิบัติตามนั้น เป็นการเจรจาที่ไร้ประโยชน์และก่อให้เกิดโทษมหันต์ เพราะจะยิ่งทำให้ศัตรู ผู้รังแก เกิดความโลภที่จะยัดเยียดเป้าหมายอื่นๆ อีกต่อไป และไม่ได้ช่วยป้องกันภัยอันตรายใดๆ ให้กับพวกเราเลย และการเจรจาเช่นนี้ ไม่มีประชาชาติที่มีเกียรติใดๆและนักการเมืองที่มีสติปัญญา จะยอมรับได้”
ในช่วงเริ่มต้น ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวอวยพร เนื่องในโอกาสเริ่มต้นเดือนเมฮ์ร ซึ่งเป็นเดือนแห่งการศึกษา ความรู้ และจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของบรรดาเยาวชน ยุวชน และเด็กเล็กทั้งหลายนับล้านคนไปสู่องค์ความรู้และขีดความสามารถ พร้อมทั้งท่านได้เน้นย้ำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้บริหารประเทศ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และกระทรวงสาธารณสุข ควรตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของศักยภาพอันล้ำค่าของเยาวชนชาวอิหร่าน และการใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานนี้จากพระผู้เป็นเจ้าอย่างเหมาะสม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงเหรียญรางวัลหลากสีจำนวน 40 เหรียญ รวมถึงเหรียญทอง 11 เหรียญที่นักเรียนชาวอิหร่านได้รับจากการแข่งขันระดับโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “แม้ต้องเผชิญกับสงคราม 12 วันและปัญหาต่างๆ ที่ตามมา แต่บรรดานักเรียนของเราก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งของโลกในสาขาดาราศาสตร์ และได้อันดับดีในสาขาอื่นๆ อีกหลายแขนง เช่นเดียวกับที่ศักยภาพเหล่านี้ทำให้เยาวชนของเราเฉิดฉายในกีฬามวยปล้ำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ก็ได้สร้างชื่อเสียงในกีฬาวอลเลย์บอลและกีฬาประเภทอื่นๆ อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงวันครบรอบการเป็นชะฮีดของท่านซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ โดยท่านถือว่า นักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ เป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของโลกอิสลาม ชีอะฮ์ และเลบานอน พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ทรัพย์สมบัติที่ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ได้สร้างไว้ รวมถึงฮิซบุลลอฮ์นั้นยังคงดำรงอยู่และจะดำเนินต่อไป และไม่ควรเพิกเฉยต่อทรัพย์สมบัติอันสำคัญนี้ ทั้งในประเทศเลบานอนและในประเทศต่างๆ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวเทิดเกียรติบรรดานายพล นักวิทยาศาสตร์ และชะฮีดคนอื่นๆ จากสงคราม 12 วัน พร้อมทั้งท่านกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจถึงครอบครัวของพวกเขา และท่านได้เน้นย้ำถึงเนื้อหาหลักของการปราศรัยผ่านทางโทรทัศน์ในครั้งนี้กับประชาชาติใน 3 ประเด็น ดังนี้
1.ความสำคัญของเอกภาพและความสามัคคีของประชาชาติอิหร่านในช่วงสงคราม 12 วัน และสภาพปัจจุบันและอนาคตของประเทศ
2.การอธิบายถึงความสำคัญในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์
3.การชี้แจงจุดยืนที่มั่นคงและมีเหตุผลของประชาชาติและรัฐอิสลามต่อการข่มขู่คุกคามของสหรัฐอเมริกา
ในการอธิบายถึงประเด็นแรก ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามถือว่า เอกภาพของประชาชาติ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ศัตรูหมดหวังในช่วงสงคราม 12 วัน โดยท่านกล่าวว่า “การโจมตีบรรดาผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญบางคน เป็นเพียงเครื่องมือที่ศัตรูใช้เพื่อหวังที่จะก่อความวุ่นวายและความจลาจลให้เกิดขึ้นในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเตหะราน ด้วยความช่วยเหลือของปัจจัยภายในประเทศ หากพวกเหล่านี้สามารถดึงประชาชนให้ออกมาต่อต้านสาธารณรัฐอิสลามตามท้องถนน และทำให้การบริหารประเทศต้องหยุดชะงัก ก็จะสามารถโจมตีแก่นของรัฐอิสลาม และด้วยแผนการร้ายหลังจากนี้ ก็จะทำให้อิสลามหมดสิ้นจากผืนแผ่นดินนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การแต่งตั้งบรรดาผู้บัญชาการคนใหม่อย่างรวดเร็ว ภายหลังจากการเป็นชะฮีดของเหล่าผู้บัญชาการ ตลอดจนความเข้มแข็งและการมีกำลังใจที่สูงขึ้นของกองทัพ รวมทั้งการบริหารประเทศอย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นปัจจัยที่มีบทบาทอย่างมากในการทำให้ศัตรูพบกับความพ่ายแพ้ แต่ท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ประชาชาติ คือ องค์ประกอบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในการทำให้ศัตรูต้องพบกับความล้มเหลว เพราะว่า ด้วยเอกภาพและความสามัคคีของประชาชนที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของศัตรูเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน แน่นอนว่า พวกเขาได้ออกมาตามท้องถนนเพื่อแสดงถึงพลังในการต่อต้านเหล่าผู้รุกรานและทำการปกป้องสาธารณรัฐอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการที่ศัตรูตำหนิเหล่าตัวแทนของตนในอิหร่านว่าไร้ความสามารถและล้มเหลว โดยท่านกล่าวเสริมว่า เหล่าตัวแทนรัฐเถื่อนไซออนิสต์และอเมริกาก็ตอบกลับไปว่า เราได้พยายามแล้ว แต่ทว่า ประชาชนไม่ยอมสนับสนุนเรา และเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เอกภาพและความสามัคคีของประชาชาติ เป็นปัจจัยที่ทำให้แผนการร้ายของศัตรูต้องพบกับความล้มเหลว และท่านได้เน้นย้ำว่า “สิ่งสำคัญก็คือ ความเป็นเอกภาพที่เป็นตัวกำหนด จะยังคงอยู่และมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณเหล่าผู้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวทางของพวกต่างชาติและพยายามจะชี้นำให้เห็นว่า เอกภาพของประชาชาติ เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเท่านั้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บางคนอ้างว่า ความเห็นต่างจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น และสามารถใช้ความแตกต่างทางชาติพันธุ์หรือความขัดแย้งทางการเมืองมาสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น แต่คำพูดเช่นนี้ ถือเป็นความผิดพลาดโดยสิ้นเชิง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ทุกชาติพันธุ์ในประเทศต่างมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นชาวอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “และถึงแม้ว่า เราจะมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันตามธรรมชาติ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้รังแก ประชาชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอนาคต จะรวมพลังกัน เป็นเสมือนหมัดเหล็กที่ฟาดใส่ศีรษะของศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อิหร่านในวันนี้ คือ อิหร่านเช่นเดียวกับวันที่ 23 และ 24 เดือนโครดาดของปีนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในวันเหล่านั้น ถนนเต็มไปด้วยประชาชนและเสียงสโลแกนอันทรงพลังต่อต้านไซออนิสต์ ผู้ถูกสาปแช่งและอเมริกา ผู้ก่ออาชญากรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและเอกภาพของประชาชาติ และความสามัคคีนั้นก็ยังคงอยู่และจะดำรงอยู่ต่อไป และแน่นอนว่า ทุกคนต่างๆมีหน้าที่ในการปกป้องและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้น”
ในส่วนที่สองของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ให้เห็นว่า มีการพูดเกี่ยวกับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม หลายครั้งในเวทีทางการเมืองและในต่างประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “เราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า ทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญสำหรับศัตรูเป็นอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เชิญชวนบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้มาอธิบายถึงแง่มุมและประโยชน์ของการเสริมสมรรถนะ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ในการเสริมสมรรถนะ บรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญของเรา เป็นผู้มีหน้าที่แปรรูปยูเรเนียมที่ขุดได้จากเหมืองภายในประเทศ โดยผ่านกระบวนการทางเทคนิคที่ซับซ้อนและล้ำหน้า ให้กลายเป็นยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะ ซึ่งมีมูลค่าสูง และสามารถนำไปใช้ในหลากหลายสาขาในการดำเนินชีวิตของประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นว่า ยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะ มีการใช้งานอย่างหลากหลาย ทั้งในด้านการเกษตร อุตสาหกรรม วัสดุสิ่งของ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ สาธารณสุข โภชนาการ ตลอดจนการวิจัยและการศึกษา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า การใช้ยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะ มีต้นทุนที่ถูกกว่าและไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมีข้อดีอีกหลายประการ ด้วยเหตุผลนี้ หลายประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงหันมาใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขณะที่โรงไฟฟ้าของเราในปัจจุบันยังต้องพึ่งพาน้ำมันเบนซินและก๊าซ ซึ่งมีต้นทุนที่สูงอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงการสร้างอุตสาหกรรมการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมในประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “เราไม่มีเทคโนโลยีนี้มาก่อน ขณะที่ความต้องการของเราก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากพวกต่างชาติ แต่ด้วยความพยายามของบรรดาผู้บริหารที่มีความมุมานะและอุตสาหะ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศได้เริ่มต้นเดินหน้าตั้งแต่เมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในปัจจุบันนี้ เราได้ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงของการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมแล้ว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของบางประเทศในการเสริมสมรรถนะถึง 90% คือการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ โดยท่านกล่าวว่า “เนื่องจากเรานั้นไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ และเราได้ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่สร้างหรือใช้อาวุธประเภทนี้ เราจึงได้เสริมสมรรถนะยูเรเนียมจนถึงระดับ 60% ซึ่งถือว่า ดีมากแล้ว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยัถือว่า อิหร่าน เป็นหนึ่งใน 10 ประเทศจากกว่า 200 ประเทศทั่วโลกที่มีอุตสาหกรรมเสริมสมรรถนะยูเรเนียม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ สิ่งสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ของเราได้กระทำก็คือ การพัฒนาบุคลากร โดยในปัจจุบัน เรามีทั้งนักวิทยาศาสตร์และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหลายสิบคน นักวิจัยอีกนับร้อยคน และเจ้าหน้าที่ผู้ผ่านการฝึกอบรมในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์อีกนับพันคนที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่ศัตรูต่างคิดผิด หากเชื่อว่าแค่การโจมตีหรือการข่มขู่ด้วยการทิ้งระเบิด จะทำลายเทคโนโลยีนี้ในอิหร่านได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นว่า ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เหล่าชาติมหาอำนาจที่ผู้รังแก พยายามที่กดดันให้อิหร่านยอมจำนนและยกเลิกการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม โดยท่านเน้นย้ำว่า “เรานั้นก็ไม่เคยยอมจำนน และเราจะไม่ยอมจนนในการต่อสู้หรือในประเด็นอื่นใดด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ พวกอเมริกาเคยบอกว่าอย่าได้เสริมสมรรถนะในระดับสูงเป็นอันขาด และให้นำยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะออกนอกประเทศ แต่บัดนี้ พวกเขากลับยืนกรานว่า ไม่ควรมีการเสริมสมรรถนะใด ๆ เลยในอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ความหมายของการรังแกนี้ คือ พวกท่านต้องทำลาย ให้สูญสิ้นของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ซึ่งได้รับมาจากการลงทุนและความพยายามอย่างไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย แต่ประชาชาติอิหร่าน ผู้มีเกียรติศักดิ์ศรี จะไม่มีวันยอมรับคำพูดเช่นนี้ และจะตอกกลับผู้ที่พูดมันอย่างสาสม”
ในประเด็นที่สามของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ให้เห็นถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับ การเจรจากับอเมริกาจากฝ่ายการเมือง โดยท่านกล่าวว่า “บางคนมองว่า การเจรจากับอเมริกาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ขณะที่บางคนมองว่าเป็นสิ่งที่เป็นโทษ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เข้าใจและเห็นมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าขอแบ่งปันกับประชาชาติที่เคารพรัก และขอให้เจ้าหน้าที่และนักการเมืองทุกท่านได้ไตร่ตรองอย่างจริงจังต่อเรื่องนี้ และมีการตัดสินใจโดยอาศัยความรู้และความเข้าใจ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคต เช่น อีก 20 ปีหรือ 30 ปีข้างหน้า สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ทว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน การเจรจากับสหรัฐฯ ถือเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่ได้ช่วยอะไรต่อผลประโยชน์แห่งชาติ และไม่สามารถป้องกันความเสียหายใดๆ ให้กับประเทศได้ ในทางตรงกันข้าม กลับก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ซึ่งบางอย่างอาจจะไม่สามารถเยียวยาได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงความไร้ประโยชน์ของการเจรจากับสหรัฐฯ โดยท่านกล่าวว่า “ฝ่ายอเมริกาได้กำหนดผลลัพธ์ของการเจรจาล่วงหน้าไว้แล้วจากมุมมองของตนเอง และเขาต้องการในการเจรจาที่ผลลัพธ์คือ การหยุดการเคลื่อนไหวทางด้านนิวเคลียร์และการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมภายในประเทศอิหร่านอย่างสมบูรณ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การนั่งเจรจาบนโต๊ะภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ เท่ากับเป็นการยอมรับคำสั่ง การบังคับ และการใช้อำนาจรังแกของฝ่ายตรงข้าม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ เขา(ประธานาธิบดีสหรัฐฯ) พูดถึงการหยุดเสริมสมรรถนะ แต่รองของเขา(รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) เพิ่งพูดเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า อิหร่านไม่ควรมี แม้กระทั่งขีปนาวุธในระยะกลางหรือระยะใกล้เลย นั่นหมายความว่า เขาต้องการให้มือของอิหร่านถูกมัดไว้หมดสิ้น และหากถูกรุกราน ก็จะไม่สามารถตอบโต้ฐานทัพอเมริกาในอิรักหรือในสถานที่อื่นๆได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความคาดหวังและคำพูดของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เหล่านี้ มาจากการไม่เข้าใจประชาชาติอิหร่านและสาธารณรัฐอิสลาม รวมถึงไม่รับรู้ถึงหลักการ ปรัชญา และแนวทางของอิหร่าน พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ตามคำพูดของชาวเมืองมัชฮัด (เมืองหนึ่งในอิหร่าน) ที่ว่า คำพูดของพวกเหล่านี้ช่างใหญ่เกินปากของผู้พูด และไม่ควรค่าแก่การให้ความใส่ใจ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี หลังจากที่ได้กล่าวอธิบายถึงความไร้ประโยชน์ในการเจรจากับสหรัฐฯ ท่านได้นำเสนอความเสียหายที่สำคัญของการเจรจานี้ โดยท่านกล่าวว่า “ฝ่ายตรงข้ามได้ข่มขู่ว่า หากพวกท่านไม่เจรจา ก็จะกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้เอง การยอมรับการเจรจาในลักษณะนี้ เท่ากับเป็นการแสดงถึงการยอมจำนนต่อการข่มขู่ ความหวาดกลัว และการยอมจำนนของประชาชาติและประเทศชาติในการเผชิญกับการคุกคาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า การยอมจำนนต่อการข่มขู่ของสหรัฐฯ จะนำไปสู่การที่พวกเหล่านี้จะยิ่งเรียกร้องและสร้างความกดดันมากขึ้นอย่างที่ไม่รู้จบ โดยท่านกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ พวกเหล่านี้พูดว่า หากพวกท่านมีการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม จะกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ และในวันหน้า พวกเหล่านี้ก็จะใช้เรื่องการมีหรือการไม่มีขีปนาวุธ หรือความสัมพันธ์ของเรากับประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นข้ออ้างในการข่มขู่และบีบบังคับให้เราถอยอีกไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “ไม่มีประชาชาติที่มีเกียรติใด จะยอมรับการเจรจาภายใต้การข่มขู่ และไม่มีนักการเมืองที่มีสติปัญญาคนใดที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การที่ฝ่ายตรงข้ามสัญญาว่า จะให้ผลประโยชน์หากอิหร่านยอมรับข้อเรียกร้องนั้น เป็นเรื่องที่โกหก และท่านได้ชี้ให้เห็นถึงประสบการณ์จากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) เมื่อ 10 ปีก่อน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เราได้ลงนามในข้อตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งตามข้อตกลงนั้น หนึ่งในศูนย์นิวเคลียร์ของเราได้ถูกปิดลง และยูเรเนียมเสริมสมรรถนะต้องถูกส่งออกนอกประเทศหรือทำให้เจือจาง เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และให้บัญชีของอิหร่านในสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) กลับเข้าสู่ภาวะปกติ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ข้าพเจ้าได้บอกกับเจ้าหน้าที่ในเวลานั้นว่า ‘สิบปีเป็นเวลาที่ยาวนาน ราวกับหนึ่งชีวิต ทำไมถึงต้องยอมรับด้วย? พวกเขาตกลงว่าจะไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายก็ยอมรับอยู่ดี ขณะที่ในวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไปสิบปี ไม่เพียงแต่บัญชีนิวเคลียร์ของเรายังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ทว่า ปัญหาต่างๆในคณะมนตรีความมั่นคงและสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ กลับยิ่งแย่ลง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการที่สหรัฐฯ ผิดสัญญา เช่น การไม่ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร การถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ และตามที่พูดกันทั่วไปคือ การฉีกข้อตกลงทิ้ง ทั้งๆที่อิหร่านได้ปฏิบัติตามข้อตกลงทั้งหมด โดยท่านกล่าวว่า “นี่คือสภาพของฝ่ายตรงข้าม หากว่าพวกท่านเข้าเจรจาและยอมรับข้อเรียกร้องของเขา ก็จะเท่ากับเป็นการยอมจำนน ทำให้ประเทศต้องพบกับความอ่อนแอ และยังเป็นการทำลายเกียรติของประชาชาติ แต่หากพวกท่านไม่ยอมรับ พวกเหล่านี้ ก็จะกลับมาข่มขู่และก่อความวุ่นวายอีกเช่นเดิม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การไม่ลืมบทเรียนจากประสบการณ์ในอดีต โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นประเด็นที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ ข้าพเจ้ายังไม่ต้องการกล่าวกับพวกยุโรป แต่สำหรับสหรัฐฯ แล้ว พวกเหล่านี้ เป็นฝ่ายที่ผิดสัญญาในทุกเรื่อง และพูดจาโกหก บางครั้ง จะข่มขู่ทางทหาร และหากมีโอกาส พวกเขาก็จะลอบสังหารบุคคลสำคัญของเรา เช่น นายพลสุไลมานี หรือมีการทิ้งระเบิดเข้าใส่สถานที่ของเรา แล้วจะมีหนทางใดหรือที่จะสามารถเจรจาและตกลงกับฝ่ายนี้ด้วยความไว้วางใจและความมั่นใจได้?”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “การเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะในประเด็นนิวเคลียร์หรือประเด็นอื่นๆ ถือเป็นทางตันโดยสิ้นเชิง”
แน่นอนว่า ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สำหรับประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐฯ การเจรจาอาจจะมีประโยชน์ในเชิงการแสดงภาพลักษณ์ เพื่อแสดงว่า การข่มขู่ของเขาได้ผลและสามารถบังคับให้อิหร่านนั่งโต๊ะเจรจาได้ โดยท่านกล่าวว่า “แต่สำหรับอิหร่านแล้ว การเจรจานี้คือความเสียหายโดยสิ้นเชิง และไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น”
ในช่วงท้ายของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนทางเดียวที่จะรักษาและพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าได้ คือ การทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่งในทุกๆด้าน ทั้งทางด้านการทหาร ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการบริหาร โครงสร้าง และองค์กร โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ ผู้มีสติปัญญาและผู้เชี่ยวชาญที่ห่วงใยประเทศ จะต้องค้นหาและดำเนินการตามแนวทางที่จะทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะว่า เมื่อประเทศมีความแข็งแกร่งแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่กล้าข่มขู่แม้แต่น้อย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมอบหมายกิจการต่อพระผู้เป็นเจ้า (ตะวักกุล) และการขอผ่านจากบรรดาอิมาม ผู้บริสุทธิ์ (ตะวัซซุล) สำหรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง พร้อมท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า “เราจะต้องนำพลังความตั้งใจของชาติออกมาใช้ในการขับเคลื่อนทุกภารกิจ และด้วยความสำเร็จจากพระผู้เป็นเจ้า การงานเหล่านี้ก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”