สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

บรรดานักเรียนและนักศึกษาหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐอิสลามกับสหรัฐฯ เป็นความขัดแย้งโดยเนื้อแท้

บรรดานักเรียน และนักศึกษาหลายพันคน พร้อมทั้งครอบครัวบรรดาชะฮีดแห่งสงคราม 12 วัน ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  เนื่องในวโรกาสวัน 13 เดือนอาบาน (ปฏิทินอิหร่าน) ซึ่งตรงกับวันแห่งการต่อสู้ของชาติกับมหาอำนาจของโลก โดยท่านผู้นำถือว่า เหตุการณ์ครบรอบการยึดสถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการวางแผนการร้ายและการร่วมสมคบคิดในการต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม เมื่อวันที่ 13 อาบาน ปี 1358 (ค.ศ. 1979) เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจและชัยชนะ อีกทั้งยังเป็นวันที่เปิดโปงให้เห็นถึงธาตุแท้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จอมอหังการ และท่านผู้นำยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นของการจารึกวันนี้ไว้ในความทรงจำของชาติ พร้อมทั้งท่านกล่าวอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐฯ ต่อประชาชาติอิหร่าน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 28 มุรดาด และยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “ความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านกับสหรัฐอเมริกา เป็นความขัดแย้งโดยเนื้อแท้ และเป็นการเผชิญหน้าระหว่างผลประโยชน์ของสองขั้ว กล่าวคือ ขั้วของสหรัฐฯ และขั้วของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และจะมีเพียงในกรณีที่สหรัฐฯ ต้องยุติการสนับสนุนต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนนิสต์ ผู้ต้องคำสาปอย่างสิ้นเชิง และการถอนฐานทัพทหารทั้งหมดออกไปจากภูมิภาค (ตะวันออกกลาง) รวมทั้งการยกเลิกการแทรกแซงกิจการของภูมิภาคนี้โดยสมบูรณ์ คำร้องขอของพวกอเมริกาในการสร้างความร่วมมือกับอิหร่านจึงจะสามารถพิจารณาได้ ไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ แต่ในภายหลังเท่านั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำอีกว่า “แนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆและการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศนั้น จะเป็นไปได้ก็ด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ทั้งในด้านการบริหารจัดการ วิทยาศาสตร์ การทหาร และแรงจูงใจภายในเท่านั้น รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ”

ในระหว่างการพบปะกันครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน รวมถึงมิติต่างๆทางประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ในการยึดรังจารกรรม (สถานทูตสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 13 อาบาน ปี 1358 (ค.ศ. 1979) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหตุการณ์ในการยึดสถานทูตสหรัฐฯ โดยบรรดาเยาวชนชาวอิหร่านสามารถมองได้จากสองมุมมองด้วยกัน กล่าวคือ มุมมองทางประวัติศาสตร์และความเป็นอัตลักษณ์”

ในมุมมองทางประวัติศาสตร์ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า วันที่ 13 อาบาน ปี 1358 และการกระทำอันกล้าหาญของบรรดานักศึกษาในการยึดสถานทูตสหรัฐฯ เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจและชัยชนะของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในประวัติศาสตร์ของอิหร่าน มีทั้งวันแห่งชัยชนะและวันแห่งความอ่อนแอหรือการเสื่อมถอย ซึ่งทั้งสองประเภทของวันเหล่านี้ ควรต้องถูกจารึกและจดจำไว้ในความทรงจำของชาติ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของอิหร่าน เช่น การยกเลิกสัญญาอาณานิคมยาสูบโดยท่านมีรซา ชีรอซี และการยกเลิกข้อตกลงวะษูกุดเดาละฮ์ รวมถึงการมีชัยชนะเหนืออังกฤษด้วยความพยายามของท่านมัรฮูมมุดัรริซ และเหล่าสหายของเขา ถือเป็นตัวอย่างของวันแห่งความรุ่งเรืองและเหตุการณ์ที่งดงามในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของอิหร่าน

และท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ให้คำแนะนำอย่างจริงจังแก่บรรดานักศึกษา นักเรียน และผู้ที่รักการอ่าน ให้ศึกษาและอภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ในขณะที่เราควรบันทึกและจดจำเหตุการณ์อันน่าภาคภูมิใจเหล่านั้น ก็ไม่ควรที่จะลืมเหตุการณ์อันขมขื่น เช่น รัฐประหารของอังกฤษในปี 1299 (ค.ศ. 1921) โดยเรซาข่านและการนำเขาขึ้นสู่อำนาจการปกครอง จนกระทั่งนำไปสู่ยุคแห่งโศกนาฏกรรม ความยากลำบาก การปกครองแบบเผด็จการที่ไม่เคยมีมาก่อน และการครอบงำของพวกต่างชาติที่ถาโถมเข้าสู่ประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบันทึกเหตุการณ์วันที่ 13 อาบาน ปี 1358 (ค.ศ. 1979) และการยึดสถานทูตสหรัฐฯ ไว้ในประวัติศาสตร์และความทรงจำของชาติ รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และในด้านอัตลักษณ์ของเหตุการณ์นี้ โดยท่านกล่าวว่า “การยึดสถานทูตสหรัฐฯ ได้เปิดโปงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และอัตลักษณ์ที่แท้จริงและแก่นแท้ของการปฏิวัติอิสลาม ก็เป็นสิ่งที่กระจ่างชัดด้วยเช่นเดียวกัน”

 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงรากศัพท์ของคำว่า อิสติกบาร ในคัมภีร์อัลกุรอาน โดยท่านถือว่า มีความหมายว่า การยกตนเหนือผู้อื่น  โดยท่านกล่าวว่า “บางครั้ง บุคคลหรือรัฐฯ อาจมองว่า ตนเองนั้นเหนือกว่า แต่ไม่ได้ล่วงละเมิดผลประโยชน์ของผู้อื่น ซึ่งในกรณีนี้ก็ไม่ก่อให้เกิดความเป็นศัตรู แต่บางครั้ง เช่น ในอดีตของรัฐบาลอังกฤษ และในปัจจุบันของสหรัฐอเมริกา รัฐเหล่านี้กลับถือสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้าไปล่วงละเมิดผลประโยชน์สำคัญของชาติอื่นๆ ด้วยการกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา การสร้างฐานทัพทหารในประเทศที่รัฐบาลอ่อนแอและประชาชนขาดสติ หรือการปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติและน้ำมันของประชาชาติอื่นๆ ซึ่งนี่แหละคือ ความเป็นจอมอหังการ หรือ อิสติกบาร ที่อิหร่านเป็นปฏิปักษ์ด้วย และเป็นสิ่งที่เราต่อต้านและเปล่งเสียงต่อต้านมาโดยตลอด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวอธิบายถึงประวัติความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐอเมริกากับประชาชาติอิหร่านโดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หลังจากยุคสมัยแห่งการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ เป็นเวลาราว 40 ปี อิหร่านต้องอยู่ในสภาวะวุ่นวายหรือการถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลของต่างชาติ หรืออยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการอันโหดร้ายของเรซา ข่าน กระทั่งในปี 1329 (ค.ศ. 1950) ด้วยความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า รัฐบาลของดร.มุซัดดิก ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งมีการยืนหยัดต่อสู้กับอังกฤษ และสามารถทำให้ทรัพยากรน้ำมันของประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ได้ถูกอังกฤษใช้ประโยชน์ไปแบบฟรีๆ กลับคืนมาเป็นทรัพยากรของชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงแผนการสมคบคิดของอังกฤษและเหล่าพันธมิตรในการโค่นล้มรัฐบาลมุซัดดิก เป็นความไร้เดียงสาและความเพิกเฉยของมุซัดดิกที่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากอเมริกาเพื่อให้หลุดพ้นจากการกดขี่ของอังกฤษ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกอเมริกา ถึงแม้จะยิ้มให้เขา แต่กลับหักหลังจากข้างหลังด้วยความร่วมมือกับอังกฤษในการก่อรัฐประหารและโค่นล้มรัฐบาลแห่งชาติ ทำให้ชาห์ที่หลบหนีจากประเทศกลับมาปกครองอิหร่านอีกครั้ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การล่มสลายของรัฐบาลมุซัดดิก เป็นบาดแผลอันใหญ่หลวงของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติของเรา ก็ได้รู้จักถึงธาตุแท้ของสหรัฐอเมริกาและความเป็นจอมอหังการ นับตั้งแต่รัฐประหาร เมื่อวันที่ 28 มุรดาด 1332 (ค.ศ1953)  เป็นต้นมา และภายหลังรัฐประหารได้ทำให้ชาห์กลับสู่ประเทศ และประเทศอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการของมุฮัมหมัดเรซา ชาห์ เป็นเวลา 25 ปี โดยที่มีอเมริกาให้การหนุนหลังอย่างต่อเนื่อง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของสหรัฐอเมริกากับการปฏิวัติอิสลาม คือ มติที่เป็นปฏิปักษ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ และท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงความโกรธเคืองของประชาชนที่เกิดจากการที่อเมริกาอนุญาตให้มุฮัมหมัดเรซากลับสู่ประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติอิหร่านรู้สึกว่า พวกอเมริกา ด้วยการให้ที่พักพิงแก่มุฮัมหมัดเรซา มีเจตนาจะทำซ้ำเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 28 มุรดาด (ค.ศ. 1953) และเตรียมการเพื่อนำเขากลับสู่อิหร่านอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้เอง ประชาชนจึงออกมาตามท้องถนนด้วยความโกรธแค้น ซึ่งส่วนหนึ่งของการประท้วงและการเคลื่อนไหวของประชาชน โดยที่มีบรรดานักศึกษาเข้าร่วมด้วยนั้น ได้นำไปสู่การยึดสถานทูตสหรัฐฯ ในที่สุด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความตั้งใจแรกของนักศึกษานั้นคือ การเข้าไปอยู่ในสถานทูตเพียงสองสามวันเท่านั้น เพื่อแสดงออกถึงความโกรธแค้นของประชาชนชาวอิหร่านที่มีต่อสายตาชาวโลก โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แต่ทว่า หลังจากนั้น บรรดานักศึกษาได้พบเอกสารภายในสถานทูต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความจริงของเรื่องนี้ลึกซึ้งเกินกว่าจินตนาการไว้มาก และสถานทูตสหรัฐฯ ถือเป็นศูนย์กลางของการวางแผนการร้ายและการร่วมสมคบคิดเพื่อทำลายการปฏิวัติอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า โดยทั่วไปแล้ว หน้าที่ของสถานทูตต่างๆ ทั่วโลกคือ การรวบรวมข้อมูลและส่งต่อกลับไปยังประเทศของตน แต่ในกรณีของสถานทูตสหรัฐฯนั้นไม่ใช่เพียงการเก็บข้อมูลเท่านั้น เพราะว่า พวกเขาได้จัดตั้งห้องวางแผนการร่วมสมคบคิด เพื่อรวบรวมกลุ่มที่เหลือจากระบอบเก่า รวมถึงบุคคลบางส่วนในกองทัพและคนอื่นๆ เพื่อดำเนินการต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเมื่อบรรดานักศึกษาเข้าใจถึงเรื่องนี้ จึงได้ตัดสินใจยึดสถานทูตไว้ในความครอบครองของตน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ไม่ถือว่า การตีความเหตุการณ์ยึดสถานทูตสหรัฐฯเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ นั้นไม่ถูกต้อง โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความขัดแย้งของเรากับสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 28 มุรดาด ปี 1332 (ค.ศ. 1953) ไม่ใช่วันที่ 13 อาบาน ปี 1358 (ค.ศ. 1979) นอกจากนี้ การยึดสถานทูตยังนำไปสู่การเปิดโปงแผนการสมคบคิดและภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งบรรดานักศึกษาได้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญนี้สำเร็จ และด้วยการรวบรวมเอกสารต่างๆ โดยพวกเขาสามารถเปิดเผยธาตุแท้ของแผนการสมคบคิดนั้นออกมาได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า สาเหตุหลักของความเป็นปฏิปักษ์และแผนการร้ายต่างๆ ต่อการปฏิวัติอิสลามนั้น มาจากการที่เหยื่ออันหอมหวาน ซึ่งถูกดึงออกจากปากของสหรัฐฯ และอิทธิพลของสหรัฐฯ ที่เคยมีเหนือทรัพยากรของอิหร่านได้ถูกตัดขาด โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกเหล่านี้ไม่ยอมที่จะปล่อยมือจากอิหร่านได้ง่ายๆ ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มจึงได้เริ่มปลุกปั่นและสร้างความเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่เพียงต่อต้านสาธารณรัฐอิสลามเท่านั้น แต่ยังต่อต้านประชาชาติอิหร่านทั้งประเทศอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่สหรัฐอเมริกามีท่าทีเป็นศัตรูและแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชาติอิหร่านอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีหลังการปฏิวัติอิสลาม เป็นหลักฐานที่ยืนยันความถูกต้องของคำกล่าวของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่า “ทุกเสียงตะโกนที่พวกท่านมี จงตะโกนเข้าใส่อเมริกา” โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “ความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐฯ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงวาจา แต่พวกเหล่านี้ได้ใช้ทุกวิถีทางในการต่อต้านอิหร่าน ไม่ว่าจะเป็นการคว่ำบาตร การวางแผนการร่วมสมคบคิด การช่วยเหลือศัตรูโดยธรรมชาติของสาธารณรัฐอิสลาม การยุยงให้ซัดดัม ฮุสเซนโจมตีอิหร่านและการสนับสนุนต่อเขาอย่างเต็มที่ การยิงเครื่องบินโดยสารของอิหร่านตกจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน การทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อ และการโจมตีทางทหารโดยตรงเพื่อทำลายผลประโยชน์ของประชาชาติอิหร่าน ทั้งหมดเหล่านี้ เป็นเพราะธาตุแท้จอมอหังการของอเมริกานั้นไม่อาจเข้ากันได้กับแก่นแท้ของอิสรภาพในการปฏิวัติอิสลาม ด้วยเหตุนี้เอง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับสาธารณรัฐอิสลาม จึงไม่ใช่เรื่องของยุทธวิธีหรือเหตุการณ์อันเฉพาะ แต่เป็นความขัดแย้งโดยเนื้อแท้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า คำพูดของบางคนที่บอกว่า การตะโกนสโลแกนว่า อเมริกา จงพินาศ เป็นสาเหตุให้สหรัฐฯมีความเป็นศัตรูกับประชาชาติอิหร่านนั้น เป็นการบิดเบือนทางประวัติศาสตร์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สโลแกนนี้ ไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้อเมริกาต่อต้านประชาชาติของเรา แต่ปัญหาของอเมริกากับสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน คือ ความไม่ลงรอยโดยเนื้อแท้และความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่างหาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงคำถามของบางคนที่ว่า “เรายืนหยัดไม่ยอมจำนนต่ออเมริกา แต่เราจะไม่มีความสัมพันธ์กับอเมริกาตลอดไปเลยกระนั้นหรือ?” โดยท่านกล่าวว่า “ประการแรก ธาตุแท้จอมอหังการของอเมริกานั้นไม่ยอมรับสิ่งใดเลย นอกจากการยอมจำนน ซึ่งประธานาธิบดีทุกคนของสหรัฐฯ ก็ต้องการเช่นนั้น เพียงแต่ไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันนี้ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เนื้อแท้ของอเมริกาถูกเปิดเผยออกมา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การคาดหวังให้ประชาชาติอิหร่าน ผู้มีศักยภาพสูง มีทรัพยากร มีภูมิหลังทางความคิดและจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง รวมถึงมีเยาวชนที่ชาญฉลาดและเปี่ยมไปด้วยแรงจูงใจ ต้องยอมจำนนนั้น เป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวว่า “สำหรับอนาคตอันไกลนั้น ยังคาดเดาไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ ทุกคนควรรู้ว่า วิธีการแก้ไขปัญหาทั้งหลาย คือ การทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า เราจะต้องทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนในทุกภาคส่วนอย่างแข็งขัน กองทัพจะต้องมีความเข้มแข็งทางด้านการทหาร และเยาวชนจะต้องมุ่งมั่นในการศึกษาและการทำงานทางวิทยาศาสตร์ เพราะหากประเทศมีความแข็งแกร่ง และศัตรูจะรู้ว่า การเผชิญหน้ากับประเทศที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แต่กลับจะสร้างความเสียหาย ประเทศก็จะมีภูมิคุ้มกันจากภัยคุกคาม ด้วยเหตุนี้เอง ความเข้มแข็งในด้านการทหาร ด้านวิทยาศาสตร์ การบริหารจัดการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเข้มแข็งของจิตใจและแรงบันดาลใจของเยาวชน ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนที่แสดงความต้องการจะร่วมมือกับอิหร่าน โดยท่านเน้นย้ำว่า “การร่วมมือกับอิหร่านนั้น ไม่สามารถสอดคล้องได้กับการที่สหรัฐฯ ให้ความร่วมมือและการสนับสนุนต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ชั่วร้าย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การที่สหรัฐฯ ยังคงให้การช่วยเหลือ สนับสนุน และปกป้องระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ทั้งๆที่ระบอบนี้ได้ถูกประณามและเสื่อมเสียชื่อเสียงในสายตาของประชาคมโลกไปแล้ว ในขณะเดียวกัน กลับขอความร่วมมือจากอิหร่านนั้น เป็นสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่อาจยอมรับได้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากสหรัฐฯ ยุติการสนับสนุนต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์โดยสิ้นเชิง การถอนฐานทัพทหารของตนออกไปจากภูมิภาค และการยกเลิกการแทรกแซงต่างๆ เสียก่อน เรื่องนี้จึงอาจจะถูกนำมาพิจารณาได้ แต่แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้หรือในอนาคตอันใกล้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่าน ได้ให้คำแนะนำแก่เยาวชนให้มีการเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจและการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่สำคัญของประเทศ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยการจัดตั้งวงสนทนาเชิงความรู้ เพื่อศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งที่ขมขื่นและที่หอมหวานในประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวว่า “วิทยาการ จะต้องก้าวหน้าในประเทศของเรา เมื่อหลายปีที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของเรานั้นดีเป็นอย่างมาก แต่ขณะนี้ได้ชะลอตัวลงบ้าง ซึ่งบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักวิจัย และนักศึกษาจะต้องไม่ยอมให้ความรวดเร็วในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ของประเทศลดน้อยลง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านพลังอำนาจทางทหารของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ภาคส่วนทางทหาร ด้วยความสำเร็จจากพระผู้เป็นเจ้า กำลังปฏิบัติงานและมีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งกลางวันและกลางคืน และจะก้าวหน้าต่อไปยิ่งขึ้นกว่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประชาชาติอิหร่านเป็นประชาชาติที่เข้มแข็ง และไม่มีอำนาจใดสามารถบังคับให้ยอมจำนนหรือคุกเข่าได้”

ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงการเอ่ยนามของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และท่านหญิงซัยนับ (ซ.) โดยให้คำแนะนำแก่เยาวชนทั้งหลายให้ปฏิบัติตามแบบอย่างของบุคคล ผู้เป็นจุดสูงสุดแห่งความศรัทธาเหล่านี้ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “จงชักชวนผู้คนรอบข้างของตนให้หันมาสนใจและเรียนรู้จากวิถีชีวิตของท่านผู้ยิ่งใหญ่นี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การนมาซที่พึงปรารถนาของปวงบ่าวผู้ปฏิบัติดี คือ การให้ความสำคัญกับการปกปิดร่างกายตามหลักศาสนา (ฮิญาบ) และเป็นแบบอย่างของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และท่านหญิงซัยนับ รวมทั้งการสร้างความผูกพันธ์กับคัมภีร์อัลกุรอานและการอ่านอัลกุรอานในทุกวัน และการรักษาความสัมพันธ์กับด้านจิตวิญญาณ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างสำหรับเยาวชนทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในยุคสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ เยาวชนทั้งหลายของเราจะสามารถกล่าวคำว่า อเมริกา จงพินาศ ได้อย่างแท้จริง และการยืนหยัดต่ออำนาจและคำข่มขู่ของของเหล่าฟาโรห์แห่งยุคสมัย จะต้องมีความเข้มแข็งทั้งด้านจิตใจ ความศรัทธา และการพึ่งพาอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การรักษาความสัมพันธ์ทางจิตใจอย่างต่อเนื่องของเยาวชนกับพระผู้เป็นเจ้า จะนำสู่ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของประเทศ และการเพิ่มพูนความสามารถในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู

700 /