สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวปราศรัยกับประชาชาติอิหร่าน

สงคราม12 วัน ประชาชาติอิหร่านได้ประสบชัยชนะเหนือทั้งสหรัฐอเมริกาและรัฐเถื่อน

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวปราศรัยกับประชาชาติอิหร่านอันทรงเกียรติ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการมีพลังอำนาจของกองกำลังบะซีจญ์อย่างต่อเนื่องในเยาวชนรุ่นต่อไป ซึ่งถือว่า บะซีจญ์ คือ ความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่ การขับเคลื่อนของมวลชน และปัจจัยในการเพิ่มพูนพลังอำนาจแห่งชาติ  อีกทั้งท่านยังถือว่า ความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนนิสต์ในการบรรลุเป้าหมายใดๆ จากการโจมตีต่ออิหร่าน คือ สัญลักษณ์ที่ชัดเจนของความพ่ายแพ้ของพวกเขา พร้อมทั้งท่านผู้นำยังได้ให้คำแนะนำแก่ประชาชาติ และเชิญชวนประชาชนทุกคนรวมถึงกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ให้รักษาและเสริมสร้างความเป็นเอกภาพแห่งชาติอีกด้วย

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินการของบรรดาเจ้าหน้าที่ในการเทอดเกียรติต่อบะซีจญ์ ถือว่า บะซีจญ์ เป็นขบวนการขับเคลื่อนอันทรงคุณค่าของชาติ มีแรงจูงใจแห่งพระผู้เป็นเจ้าและมีจิตสำนึก มีความเชื่อมั่นในตนเอง และเปี่ยมด้วยเกียรติศักดิ์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รุ่นที่สี่ของบะซีจญ์ ซึ่งหมายถึง ยุวชนทั่วประเทศพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ความพยายาม และการขับเคลื่อนที่ทรงคุณค่าและมีความสำคัญอย่างมาก จะต้องส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง ให้เจริญงอกงาม ครบถ้วน และมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในประเทศต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีขบวนการอย่างเช่น บะซีจญ์ เป็นสิ่งที่ช่วยเปิดทางและเป็นประโยชน์สำหรับทุกประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประเทศอย่างเช่น อิหร่าน ซึ่งได้ยืนหยัดต่อการเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับพวกกร่างและผู้ก่อกวนในระดับนานาชาติ จำเป็นที่จะต้องมีบะซีจญ์มากกว่าประเทศอื่นใด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประชาชาติต่างๆ จะต้องยืนหยัดต่อความละโมบและการแทรกแซงของเหล่าผู้มีอำนาจครอบงำ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “องค์ประกอบอันยิ่งใหญ่ของการยืนหยัดต่อสู้ (มุกอวะมะฮ์) ซึ่งถูกวางรากฐานและเติบโตขึ้นในอิหร่าน ปัจจุบันนี้สามารถเห็นได้ในคำขวัญสนับสนุนต่อปาเลสไตน์และกาซ่าในหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงในประเทศตะวันตกและแม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ตาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความมีชีวิตชีวาและความกระตือรือร้นของบะซีจญ์ เป็นปัจจัยให้การยืนหยัดต่อสู้ของประชาชาติต่างๆ ในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้กดขี่ในโลก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก เมื่อเห็นถึงการเติบโตของแนวการยืนหยัดต่อสู้ ก็จะรู้สึกถึงการสนับสนุนและการมีพละกำลัง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวอธิบายถึงความหมายของบะซีจญ์ โดยท่านกล่าวว่า “บะซีจญ์ในรูปแบบองค์กรมวลชนและในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งต่อศัตรู และมีบทบาทเป็นผู้รับใช้ต่อประชาชน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ กองกำลังสนับสนุนที่กว้างใหญ่ของบะซีจญ์ ซึ่งสะท้อนอยู่ทั่วประเทศ และอยู่ในตัวของประชาชน ผู้กล้าหาญทุกคนที่พร้อมทำงาน มีแรงจูงใจ และมีความหวัง ในภาคส่วนต่างๆ ทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย สถาบันศาสนา การผลิต สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และด้านอื่นๆ อีกมากมาย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บะซีจญ์ ในความหมายกว้างและครอบคลุมทั้งหมดเช่นนี้ สามารถทำลายแผนการร้ายของศัตรูในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร เศรษฐกิจ การผลิต เทคโนโลยี และทุกด้านได้ พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวว่า “บรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้ทรงเกียรติ ซึ่งได้สละชีวิตในสงคราม12วัน ผู้ออกแบบ ผู้สร้างและผู้ยิงขีปนาวุธ ทุกคนที่ด้วยตรรกะอันมั่นคงและคำพูดอันหนักแน่นได้การปฏิบัติหน้าที่ให้ความกระจ่างต่อข่าวลือและการยุยงต่างๆ แพทย์และพยาบาลผู้เสียสละที่ไม่ละทิ้งโรงพยาบาลในช่วงสงคราม และบรรดานักกีฬาฮีโร่ที่แสดงความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ศาสนา ประเทศ และประชาชนในเวทีนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของบะซีจญ์หรือไม่ก็ตาม ล้วนถือว่าเป็นบะซีจญ์ทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ซึ่งภาคภูมิใจที่ตนเป็นบะซีจญ์ ก็กำลังแสวงหาบะซีจญ์ในลักษณะกว้างขวางเช่นนี้ด้วยเช่นกัน บะซีจญ์นั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง แต่ครอบคลุมทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทุกอาชีพ และทุกชนชั้นทางสังคมอีกด้วย”

ในประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับบะซีจญ์ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เน้นย้ำต่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกคนว่า “พวกท่านทั้งหลาย จงปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เหมือนกับบะซีจญ์ ด้วยศรัทธา แรงจูงใจ และความกล้าหาญ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในส่วนหนึ่งของคำปราศรัยของท่าน ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและสงคราม 12 วัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในสงคราม 12 วันนั้น ประชาชาติอิหร่านได้ประสบชัยชนะเหนือทั้งสหรัฐอเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเข้ามาก่อความวุ่นวายและสร้างความเลวร้าย แต่กลับถูกตอบโต้และต้องกลับไปด้วยมือเปล่า โดยไม่สามารถบรรลุแม้แต่เป้าหมายเดียวของตน ซึ่งนี่คือความพ่ายแพ้อย่างแท้จริงของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงถ้อยคำที่ว่า ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ได้วางแผนยาวนาน 20 ปีเพื่อก่อสงครามกับอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาได้วางแผนสงครามในลักษณะที่ต้องการยุยงประชาชนให้หันมาต่อสู้กับรัฐอิสลาม แต่ผลลัพท์กลับตรงกันข้าม พวกเขาได้พบกับความพ่ายแพ้ในรูปแบบที่ แม้แต่ผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐอิสลาม ก็ยังเข้ามายืนอยู่ข้างรัฐอิสลาม และเกิดความเป็นเอกภาพในประเทศขึ้นอย่างกว้างขวาง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “แน่นอนว่า พวกเราเองก็ได้รับความเสียหาย และด้วยธรรมชาติของสงคราม เราสูญเสียชีวิตอันมีค่าบางชีวิตไป แต่สาธารณรัฐอิสลามแสดงให้เห็นว่า เป็นศูนย์กลางของเจตจำนงและพลังอำนาจ สามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งโดยไม่หวั่นไหวต่อเสียงข่มขู่ใดๆ และมีการตัดสินใจด้วยอำนาจของตนเอง นอกจากนี้ ความเสียหายทางวัตถุที่เกิดขึ้นต่อศัตรูผู้รุกราน ยังมากกว่าที่อิหร่านได้รับอย่างมากอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในสงคราม 12 วัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สหรัฐอเมริกาได้รับความเสียหายอย่างหนักในสงครามครั้งนี้ เพราะถึงแม้ว่า จะใช้อาวุธยุทโธปกรณ์รุกและรับขั้นก้าวหน้าล่าสุด แต่ก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตน นั่นหมายความว่า การหลอกลวงประชาชาติอิหร่านและดึงให้พวกเขาเข้าข้างตน แต่ในทางตรงกันข้าม ขณะที่ความสามัคคีของประชาชาติกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น และทำให้สหรัฐฯต้องพบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างรุนแรงของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์จากโศกนาฏกรรมกาซ่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สหรัฐอเมริกาในเหตุการณ์นี้ได้ยืนอยู่ข้างระบอบรัฐเถื่อน ผู้ฉกฉวย ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียและถูกดูหมิ่นอย่างหนัก เพราะประชาชนทั่วโลกต่างทราบดีว่า ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ไม่สามารถก่อเหตุอาชญากรรมมากมายเช่นนี้ได้ หากไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บุคคลที่ถูกเกลียดชังที่สุดในโลกวันนี้ คือ หัวหน้ารัฐบาลไซออนิสต์ และองค์กรหรือกลุ่มที่ถูกเกลียดชังที่สุด คือ ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “เนื่องจากสหรัฐอเมริกาอยู่ข้างพวกเขา ความเป็นที่น่ารังเกียจของพวกไซออนิสต์จึงได้ส่งผลกระทบมาถึงสหรัฐอเมริกาอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาในพื้นที่ต่างๆ ของโลก เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ของสหรัฐฯ โดยท่านกล่าวว่า “การแทรกแซงของอเมริกาในทุกภูมิภาค นำมาซึ่งการจุดชนวนสงคราม หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทำลายล้าง และการทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ตัวอย่างของการแทรกแซงของอเมริกา คือ สงครามยูเครน ซึ่งเต็มไปด้วยความสูญเสียและปราศจากผลลัพธ์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประธานาธิบดีปัจจุบันของสหรัฐฯที่เคยบอกว่า จะยุติสงครามนี้ภายในสามวัน บัดนี้ หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งปี เขากำลังบังคับให้ประเทศที่เขาผลักดันให้เข้าสู่สงครามนั้นต้องยอมรับแผนข้อเสนอ 28 มาตรา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การโจมตีของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ต่อเลบานอน การรุกรานซีเรีย และการก่ออาชญากรรมในเขตเวสต์แบงก์ รวมถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายในกาซ่า เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสนับสนุนสงครามและอาชญากรรมของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อระบอบอันชั่วร้ายนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แน่นอนว่า ข่าวลือที่ว่า อิหร่านได้ส่งสารถึงสหรัฐฯ ผ่านประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นและไม่เคยเกิดขึ้นจริง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการทรยศของอเมริกา แม้แต่กับเหล่าพันธมิตรของตนเอง เพื่อปกป้องกลุ่มอาชญากรไซออนิสต์และพยายามก่อสงครามทั่วโลก โดยมีแรงผลักดันจากน้ำมันและทรัพยากรใต้ดิน ซึ่งขณะนี้ได้ขยายไปถึงลาตินอเมริกาแล้วด้วย โดยท่านกล่าวว่า “รัฐบาลเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่รัฐบาลที่สาธารณรัฐอิสลามต้องการเป็นพันธมิตรหรือมีความสัมพันธ์ด้วยอย่างแน่นอน”

ในช่วงท้ายของคำปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำหลายประการต่อประชาชาติ โดยประการแรก คือ การรักษาและการเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ

 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ความเห็นต่างระหว่างกลุ่มสังคมและกลุ่มการเมือง เป็นสิ่งที่มีอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ในเผชิญหน้ากับศัตรู เช่นเดียวกับในสงคราม 12 วัน เราจะต้องยืนเคียงข้างกัน ความสามัคคีเช่นนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงและอำนาจของชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้แนะนำให้ประชาชนสนับสนุนต่อประธานาธิบดีและรัฐบาลผู้รับใช้สังคม โดยท่านกล่าวว่า “การบริหารประเทศ ถือเป็นภารกิจที่หนักและมีความยากลำบาก ขณะที่รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการสำคัญหลายอย่าง รวมถึงความต่อเนื่องของโครงการที่ยังไม่เสร็จของท่านชะฮีด ระอีซี หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ประชาชนจะได้เห็นถึงผลลัพธ์ในอนาคต”

คำแนะนำประการที่สามของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามต่อประชาชาติ คือ การหลีกเลี่ยงความฟุ่มเฟือยในทุกด้าน ไม่ว่า จะเป็นขนมปัง ก๊าซ น้ำมันเบนซิน และอาหารชนิดต่างๆ โดยท่านถือว่า ความฟุ่มเฟือย เป็นหนึ่งในภัยอันใหญ่หลวงทั้งต่อครอบครัวและต่อประเทศชาติ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “หากไม่มีความฟุ่มเฟือยมากมายเช่นนี้ สภาพของประเทศก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน”

คำแนะนำประการสุดท้ายของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม คือ การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า การวิงวอนและการขอพรในทุกๆเรื่อง ไม่ว่า จะเป็นเรื่องฝน ความปลอดภัย หรือสุขภาพ เพื่อให้พระองค์ทรงจัดเตรียมปัจจัยแห่งความถูกต้องดีงามในกิจการทั้งหลายด้วยความกรุณาของพระองค์

 

700 /