การประกอบพิธีฮัจญ์
- คำนำ«وَأَذّنْ فِي النّاسِ بِالْحَجّ يَأْتُوكَ رِجالاً وَ عَلى كُلّ ضامِرٍ يَأْتِينَ مِنْ كُلّ فَجّ ٍ عَمِيقٍ »
และเจ้าจงประกาศเถิด (อิบรอฮีมเอ๋ย) ในมวลมนุษย์ชาติ เพื่อการบำเพ็ญพิธีฮัจญ์ ซึ่งพวกเขาจะมา (ตามคำเรียกร้อง) ยังเจ้า มีทั้งกลุ่มชนที่เดินมาและขี่อูฐอันผอมเพรียว พวกเขาจะมาจากทุกหนทุกทางอันไกลโพ้น
(1) ฮัจญ์คือการตอบรับคำเชิญชวน และการเรียกร้องเชิญชวนของท่านนบีอิบรอฮีม(อ) ภายหลังจากที่ท่านได้สร้างบัยตุลลอฮ์ ขึ้นมา ตามคำบัญชาของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล โดยมีการเชิญชวนและเรียกร้องมนุษยชาติจากทุกหมู่เหล่า ทั้งทางเท้า และทางพาหนะ จากทั่วทุกสารทิศเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์และซิยารัตบัยตุลลอฮ์. ตามริวายะห์ ได้กล่าวว่า ฮัจญ์เป็นคำบัญชาจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ถือเป็นหลักการหนึ่งของ
รุกุนอิสลาม “ตราบใดที่กะอฺบะห์ยังคงอยู่ ศาสนาอันบริสุทธิ์ก็จะคงมีต่อไป” لا يزال الدين قائماً ما قامت الكعبة
(2) และคราใดที่มนุษยชาติ ได้ละเลยและมิให้ความสำคัญต่อการประกอบพิธีฮัจญ์ เมื่อนั้นบทลงโทษของอัลลอฮ์(ซบ)ก็จะบังเกิดขึ้นแก่พวกเขาอย่างแน่นอน
لوترك الناس الحجّ، لنزل عليهم العذاب
(3) ฮัจญ์เป็นกฎข้อบังคับที่พิเศษและเฉพาะสำหรับบุคคล อีกทั้งเป็นศูนย์รวมวิชาการความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า (มาอารีฟ)และจะครอบคลุมเนื้อหาของทุกๆอิบาดะห์ ฮัจญ์เสมือนเช่น ซะกาต และคุมส์ อันเป็นอิบาดะห์ภาคการเงิน , ฮัจญ์เสมือนเช่น การนมาซ อันเป็นอิบาดะห์ภาคกายภาพและคำพูด , ฮัจญ์เสมือนเช่นการญิฮาด อันเป็นอิบาดะห์ภาคปฏิบัติและการคงมีอยู่ และก็เสมือนเช่น การถือศิลอด อันเป็นอิบาดะห์ภาคการอดกลั้น ในด้านปัจเจกบุคคลนั้น ฮัจญ์เป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นบ่าวที่สมบูรณ์ และเป็นการนอบน้อมถ่อมตนอย่างแท้จริง ณ เอกองค์อัลลอฮ์(ซบ) ดังนั้นจึงเป็นความหวังและความปรารถนาที่สำคัญยิ่งของมวลมนุษยชาติ กล่าวคือ สามารถนำมาซึ่งความผาสุกและความไพบูลย์สำหรับเขา ด้วยการประกอบพิธีฮัจญ์ ความผิดบาปต่างๆของเขาก็จะได้รับการอภัยโทษลง
(๔) และเขาจะไม่ได้รับสิ่งอื่นใดนอกจากสวรรค์เป็นรางวัลตอบแทน, บรรดาผู้แสวงบุญคือแขกพิเศษของอัลลอฮ์(ซบ)ผู้ทรงเมตตาปราณียิ่ง และคำวิงวอนของพวกเขาก็จะถูกตอบรับ หลักการปฏิบัติต่างๆของอิสลามในด้านสังคมนั้น ฮัจญ์ถือเป็นอิบาดะห์หนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและพิเศษเหนือกว่าสิ่งอื่นใด อันเป็นแหล่งปรากฏแห่งพลังอำนาจ เกียรติ์ยศ และความเป็นภราดรภาพของประชาชาติอิสลามอย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีอิบาดะห์ใดๆในอิสลาม ที่สามารถนำเสนอบทเรียนและอุทาหรณ์ให้กับมวลมุสลิมในเรื่องประเด็นประชาชาติอิสลามและประชาคมโลกได้ดีไปกว่าการประกอบพิธีฮัจญ์
ฮัจญ์ และการซิยารัตกะอฺบะฮ์ คืออิบาดะห์ และการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ เป้าหมายและความคาดหวังนั้น จะบังเกิดผลขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ก็ต่อเมื่อ มีการประกอบพิธีแห่งจิตวิญญาณควบคู่ไปด้วย และต้องปฏิบัติตามคำบัญชาจากพระองค์ทุกประการ ขอบเขตและความซับซ้อนของบทบัญญัติแห่งการประกอบพิธีฮัจญ์นั้น มิอาจเปรียบเทียบกับอิบาดะฮ์อื่นๆใดได้ ครั้นที่ ซูรอเราะห์ ได้เอ่ยถามยังท่านอิมามศอดิก(อ) ว่า นับเป็นเวลาสี่สิบปีแล้ว ที่ฉันได้ถามท่านในเรื่องฮัจญ์ และท่านก็ยังคงให้คำตอบเสมอมา ซึ่งท่านอิมาม(อ)กล่าวว่า
يا زرارة، بيت حجّ اليه قبل آدم بألفي عام تريد أن تفني مسائله في أربعين عاماً
โอ้ ซูรอเราะห์ เอ๋ย เป็นบ้านที่มีการประกอบพิธีฮัจญ์เป็นเวลาสองพันปี ก่อนนบีอาดัมถือกำเนิด แล้วเจ้าคาดหวังหรือว่าเพียงแค่สี่สิบปี เรื่องราวและประเด็นฮัจญ์นั้นจะสามารถปฏิบัติได้ทั้งหมด
(๕) เนื่องจากความสำคัญและความละเอียดอ่อนอันล้ำลึก ประกอบกับภาระหน้าที่ทางหลักชัรอีย์ของผู้แสวงบุญนั้น ได้บ่งชี้ว่าจะต้องมีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รู้ในภาระหน้าที่ของตน และต้องปฏิบัติตามคำฟัตวาของมัรเญีอ์ที่ตนตักลีดตาม
ในการนี้ สามารถศึกษาและอ่านคู่มือประกอบพิธีฮัจญ์ของท่านอายาตุลลอฮ์ อัลอุศมา ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ซึ่งมีคำฟัตวาและคำวินิจฉัยประมาณ ๑๔๐๐ กว่าเรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นคู่มือฮัจญ์ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยท่านซัยยิด อาลี คาเมเนอี ได้มีการเสริมคำฟัตวาของท่านในคู่มือดังกล่าวอีกด้วย
ด้วยเหตุผลและความจำเป็นทางด้านหลักชัรอีย์(บทบัญญัติ) สำหรับผู้แสวงบุญ ทาง อยาตุลลอฮ์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ได้อนุญาตให้คงการตักลีดตามท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) หรือในปัจจุบันก็สามารถที่จะตักลีดตาม ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดได้ และพวกเขาได้มีการถามคำถามมา และทางเราก็ได้ตอบคำถามดังกล่าว โดยทางสำนักงานฝ่ายวินิจฉัยของฯพณฯ เป็นผู้ดำเนินการ และมีการเสริมคำวินิจฉัยและได้ออกคำวินิจฉัยใหม่ล่าสุด ประกอบในคู่มือฮัจญ์ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ )อีกด้วย , และทางเราก็ได้มีการนำเสนอคู่มือดังกล่าวให้กับผู้ตักลีดตาม ฯพณฯท่านได้ครอบครองเพื่อจะได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อไป
ومن الله التوفيق
1. ซูเราะห์ ฮัจญ์ โองการที่ ๒๗
2. หนังสือ วะซาอิลุลชีอะห์ เล่ม ๑๑ หน้า ๒๑
3. จากท่านอิมามบากิร(อ) หนังสือ มอานีย์ อัคบาห์ หน้า ๑๗๐
4. หนังสือ วะซาอิลุลชีอะห์ เล่ม ๑๑ หน้า ๒๑
- บทนำตามคำฟัตวา(วินิจฉัย)ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) และท่านอยาตุลลอฮ์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี
บทนำ
ถือเป็นภาระหน้าที่สำหรับผู้ที่เข้าสู่วัยบรรลุนิติภาวะ(มุกัลลัฟ) ที่จะต้องประกอบพิธีฮัจญ์ (เป็นวาญิบ) ซึ่งสามารถพิสูจน์ด้วยกับหลักฐานและเหตุผลจากอัลกุรอานและหะดีษ ที่ได้รายงานจากท่านศาสดามุฮัมมัด(ซอลฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์
ฮัจญ์คือรุกุนหนึ่งที่สำคัญของศาสนาอิสลาม และถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งในอิสลาม ที่จะต้องยอมรับในการเป็นวาญิบ ( การบังคับทางศาสนา) ของฮัจญ์ และการละทิ้งต่อการประกอบพิธีฮัจญ์นั้น ถือว่าเป็นการทำบาปใหญ่ชนิดหนึ่ง และถ้าหากมีการปฏิเสธ ( ฮัจญ์) ถือว่าเป็นกุฟร์ (ผู้ปฏิเสธ) อัลลอฮ์(ซบ.)ทรงตรัสไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า
وَللّهِ ِ عَلَى النّاسِ حِجّ الْبَيْتِ مَنِ اسْتَطاعَ اِلَيْهِ سَبيلاً وَ مَنْ كَفَرَ فَاِنّ اللّهَ غَنِىّ عَنِ الْعالَمينَ
"และสำหรับสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์ที่มีเหนือมนุษย์ คือ การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮ์ สำหรับผู้ที่มีความสามารถและผู้ใดปฏิเสธ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย(ในสากลโลกนี้) " ( ซูเราะห์ อัล อิมรอน โองการที่ 97 )
ท่านเชคกุลัยนีย์ ได้รายงานหะดีษบทหนึ่ง จากท่านอิมามศอดิก(อ) ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “ ผู้ใดที่จากโลกนี้ไป (เสียชีวิต) โดยมิได้ประกอบพิธีฮัจญ์ และไม่มีข้ออ้างใดๆที่จำเป็นต่อกรณีดังกล่าว หรือมิได้ป่วยไข้ หรือกษัตริย์ (ผู้ปกครอง) มิได้สั่งห้ามในการประกอบพิธีฮัจญ์ต่อเขา แท้จริง เขาได้ตายในสภาพของยะฮูดีย์และนัศรอนีย์”
จากริวายะห์ ( การรายงาน) และโองการอัลกุรอานข้างต้น เพียงพอแล้วต่อการพิสูจน์ถึงความสำคัญและการเป็นวาญิบของการประกอบพิธีฮัจญ์ที่มีเหนือมวลมุสลิมทั้งหลาย อีกทั้งยังมีริวายะห์อีกมากมายที่ได้กล่าวถึงในประเด็นนี้ โอกาสไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้ทั้งหมด เพราะสิ่งที่เป็นมุสตะฮับในการประกอบพิธีฮัจญ์นั้น ยังมีอีกมากมายเกินกว่าที่จะนำมาอธิบายและนำเสนอในริซาละห์เล่มนี้ได้ ดังนั้นจึงขอนำเสนอเพียงแค่นี้ ส่วนรายละเอียดที่เหลือก็สามารถศึกษาอ่านในตำราหนังสือที่เกี่ยวข้อง การศึกษาและปฏิบัติสิ่งใดเพื่อแสวงหาความดีงามนั้น ไม่มีข้อจำกัดใดๆในกรณีศึกษา
ริซาละห์เล่มนี้ ถูกเขียนขึ้นมาสำหรับพี่น้องชาวอิหร่านโดยเฉพาะ และสำหรับผู้ที่ต้องการไปประกอบพิธีฮัจญ์และอุมรอฮ์ และผู้ที่ต้องการเรียนรู้ในรายละเอียดของพิธีกรรมนี้, เนื้อหาของคู่มือฮัจญ์เล่มนี้ ประกอบด้วยสองหมวดหมู่หลักที่สำคัญ และหัวข้อย่อยอีกหลายๆประการ ซึ่งในบางหัวข้อนั้นจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขของผู้ประกอบพิธีฮัจญ์, บางหัวข้อจะเป็นประเด็นปัญหาของการวะศียัต (พินัยกรรม) และการเป็นตัวแทนในการไปประกอบพิธีฮัจญ์ และอีกหลายๆประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำการอธิบายดังนี้
1 - ฮัจญะตุลอิสลาม คือฮัจญ์ที่เป็นวาญิบสำหรับผู้ที่มีความสามารถ ซึ่งเป็นวาญิบที่จะต้องปฏิบัติให้ได้หนึ่งครั้งในชีวิต
2 - ฮัจญ์เป็นวาญิบ สำหรับผู้ที่มีความสามารถและถือว่าเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องรีบปฏิบัติ กล่าวคือ ในปีแรกที่มีความสามารถ เป็นวาญิบสำหรับเขาที่ต้องรีบไปประกอบพิธีฮัจญ์ในทันที และไม่อนุญาตให้ล่าช้า และหากมิได้ปฏิบัติในปีนั้น ในปีถัดไปก็ยังถือว่าเป็นวาญิบสำหรับเขาที่จะต้องปฏิบัติโดยเร่งด่วน....
3 - หากเข้าใจในเรื่องของการทำฮัจญ์ (ความสำคัญ) ในขณะที่มีตนมีความสามารถ และอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้นของการเตรียมพร้อมเช่น การเดินทาง หรือการเตรียมและดำเนินการต่างๆในเบื้องต้น ซึ่งการดำเนินการต่างๆเหล่านี้ก็เพื่อสามารถให้ได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ถือว่าเป็นวาญิบที่จะต้องทำเพื่อให้ได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนั้น และหากละเลยจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถไปประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนั้นได้ ก็ถือว่าฮัจญ์ยังคงเป็นวาญิบสำหรับเขาต่อไป และไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เขาจะต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ในปีถัดไปให้ได้ แม้นว่าจะไร้ความสามารถแล้วก็ตาม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1 หากปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นหลักพื้นฐานที่สำคัญของศาสนา หรือปฏิเสธริซาละห์ หรือปฏิเสธการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด(ซอลฯ)หรือ มีการนำเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ศาสนา ถือว่าเป็นกุฟร์และมุรตัด(ผู้ปฏิเสธและตกศาสนา)
2 การปล่อยให้ล่าช้าโดยปราศจากเหตุผลอันควรตามหลักชะรีอัต ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต และถือเป็นการกระทำบาป(มะอฺศียัต) อีกทั้งฮัจญ์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่วาญิบสำหรับเขาต่อไป
- เงื่อนไขและวาญิบต่างๆในฮัจญ์
- ประเด็นทั่วไปเกี่ยวกับอิสติฏออัตประเด็นทั่วไปเกี่ยวกับอิสติฏออัต๔๖ - หากภริยาสูญเสียสามี และในช่วงที่สามียังมีชีวิตอยู่นั้น ยังไม่มีความสามารถ(อิสติฏออัต)ด้านการเงิน และหลังจากที่สามีเสียชีวิต เนื่องด้วยมรดกที่ได้รับมานั้น กลายเป็นผู้ที่มีความสามารถ(อิสติฏออัต) ด้านการเงิน แต่เนื่องด้วยมีโรคประจำตัวจึงไม่สามารถไปประกอบพิธีฮัจญ์ ได้ และหากความป่วยไข้ของเขามีความต่อเนื่องอันเป็นเหตุที่ไม่สามารถไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ถือว่าเขายังไม่มีความสามารถ (มุสตะฏียอ์)และฮัจญ์ไม่เป็นวาญิบสำหรับเขา , เช่นเดียวกัน หากหลังจากการเสียชีวิตของสามี เขามิได้ประกอบอาชีพทำสวน หรืออุตสาหกรรม เพื่อสามารถเลี้ยงดูตัวเองหลังจากที่เดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถ แม้นว่า มรดกที่ได้รับมานั้นเพียงพอในการเดินทางไปกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ก็ตาม
๔๗ -
๔๘ - ด้วยการได้รับส่วนแบ่งตามหลักชัรอีย์ เช่น ส่วนของอิมามหรือส่วนของซัยยิด ยังไม่ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถ(มุสตะฏียอ์) และหากเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ก็ยังไม่ถือว่าได้ประกอบพิธีฮัจญะตุลอิสลามแล้ว
๔๙ - บุคคลที่มีบ้านราคาแพง และหากทำการขายได้ราคาที่ถูกกว่าก่อนที่ได้ซื้อ และด้วยความแตกต่างด้านราคา ก็สามารถที่จะไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ และหากบ้านที่มีอยู่นั้น มิได้เป็นสิ่งที่เหลือใช้ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องขาย และกรณีดังกล่าวนั้นถือว่ายังมิได้เป็นผู้มีความสามารถ และหากเป็นสิ่งที่เหลือใช้ ด้วยกับเงื่อนไขต่างๆที่มีอยู่ ถือว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถ(มุสตะฏียอ์)
๕๐ - บุคคลที่มีค่าจ่ายใช้เพียงพอในการประกอบพิธีฮัจญ์ทั้งไปและกลับ ไม่ว่าจะได้มาด้วยการแสวงหาหรือวิธีการอื่น และหลังจากที่กลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์แล้ว มีค่าครองชีพส่วนหนึ่งได้มาจากรายได้ เช่น ขึ้นมินบัร และเงินเดือนๆอื่นตามหลักการชัรอีย์ และหากในการใช้จ่ายในการค่าครองชีพหลังจากกลับจากประกอบพิธีฮัจญ์แล้ว มีความต้องการในเงินเดือนนั้นอีก ถือว่ายังไม่มีความสามารถ.
๕๑ – หากบุคคลได้ขายที่ หรือสิ่งอื่นๆ เพื่อปลูกบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเขามีความจำเป็นจริงๆต่อบ้านหลังนั้น ถือว่า เขายังไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถ(อิสติฏออัต) แม้นว่า เงินที่ได้มานั้นเพียงพอสำหรับในการใช้จ่ายเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ก็ตามที.
๕๒ - หากบุคคลใดที่มีความสามารถในปีที่ผ่านมา และด้วยกับวัยแก่ชราจึงไม่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ และนอกเหนือจากเครื่องบินแล้ว ก็ไม่มีพาหนะอื่นๆที่สามารถเตรียมไว้สำหรับเขา ถือว่าไม่อนุญาตให้มีการทำแทน และจำต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ในเมื่อมีความสามารถ และหากยังไม่มีความสามารถจนถึงเสียชีวิต จำต้องเอาจากกองมรดกเพื่อใช้จ่ายในการประกอบพิธีฮัจญ์ และหากในปีก่อนหน้านี้ยังไม่มีความสามารถ ตามกรณีข้างต้น ก็ถือว่าเขายังไม่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ(มุสตะฏียอ์).
๕๓ – ครั้นที่สตรีประกอบอาชีพ อันสามารถเลี้ยงดูอุปการะตนเองได้ อีกทั้งมีความสามารถในการออกค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีฮัจญ์ และหากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของเขา เป็นเหตุให้สามีต้องเดือดร้อนและมีความยากลำบาก และหากความอุตสาหะเพียรพยายามของสามีทำให้ภริยามิได้มีความเดือดร้อนลำบากแต่อย่างใด ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถ ซึ่งจำต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ และความเพียรพยายามและยากลำบากของสามี ก็มิได้เป็นเหตุให้ภริยาขาดคุณสมบัติของผู้ที่มีความสามารถแต่ประการใด.
๕๔ – บุคคลที่ไม่มีความสามารถ ณ. แหล่งสถานที่ของตนเอง ไม่วาญิบต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ แม้นว่ามีความสามารถ(อิสติฏออัต)ในการประกอบพิธีฮัจญ์มิกอตีย์ ก็ตาม, แต่หาก ได้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และเมื่อถึงยังจุดมีกอต มีความสามารถในการประกอบพิธีฮัจญ์ขึ้นมา(อิสติฏออัต)ด้วยกับเงื่อนไขต่างๆของฮัจญ์ ซึ่งถูกนับว่าการประกอบพิธีฮัจญะตุลอิสลามของเขา.
๕๕ - บุคคลที่มีความสามารถด้านการเงิน และปราศจากการทำให้ล่าช้าแต่ประการใด โดยมีความพยายามอย่างสม่ำเสมอในการไปประกอบพิธีฮัจญ์ อีกทั้งได้เข้าร่วมในการจับฉลาก ซึ่งผลของการจับฉลากนั้น ปรากฏว่าไม่ติดชื่อของเขาในรายชื่อของผู้ที่จะไปประกอบพิธีฮัจญ์ จนไม่สามารถไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ก็ถือว่า เขายังไม่มีความสามารถ และฮัจญ์ก็ยังไม่วาญิบสำหรับเขา แต่หากมีการอลุ่มอะลวย และทำให้ล่าช้า และเข้าร่วมรายชื่อในการจับฉลากในปีถัดไป ฮัจญ์ถือว่าเป็นภาระหน้าที่สำหรับเขา แม้นว่าเขาจะไม่ติดรายชื่อในจำนวนของผู้ที่ได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ก็ตาม.
๕๖ – บุคคลใดที่รับจ้างในการประกอบพิธีฮัจญ์มุสตะฮับ และในปีเดียวกันนั้น ตนเองกลายเป็นบุคคลที่มีความสามารถด้านการเงิน และในปีนั้นตนเองก็รับค่าจ้างเพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์อีกด้วย จำต้องทำการประกอบพิธีฮัจญ์แทน (นิยาบาตีย์) และหากความสามารถของเขายังคงมีสืบไป ก็จำต้องประกอบพิธีฮัจญ์สำหรับตนเองในปีถัดไป.
๕๗ – ในการได้มาซึ่งความสามารถ (อิสติฏออัต)นั้น ไม่มีความแตกต่างแต่ประการใด ระหว่าง การได้มาซึ่งความสามารถด้านการเงินในช่วงเดือนเทศกาลฮัจญ์ คือ เดือน เชาววาล ซุลกิอฺเดาะห์ และซุลฮิญญะห์ หรือ มีความสามารถก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้ หากมีความสามารถด้านการเงิน พร้อมกับมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง(ความสามารถด้านสุขภาพ) อกทั้งมีเงื่อนไขประการอื่นๆของฮัจญ์ด้วย ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ตนเองหลุดพ้นจากความสามารถดังกล่าวได้เป็นอันขาด แม้นว่าจะมีความสามารถในช่วงต้นปีหรือ ก่อนหน้าเดือนฮัจญ์ก็ตามที.
๕๘ – คนรับใช้ในกองคาราวานที่เข้าสู่เมืองญิดดะห์ หากมีความสามารถครบตามเงื่อนไขของอิสติฏออัต เช่น มีค่าครองชีพเพียงพอ ทั้งในเชิงหลักการและความเป็นจริง และย้อนกลับยังกฎแห่งความเพียงพอ เช่น มีอาชีพและทำธุรกิจอื่นๆ ซึ่งหลังจากกลับจากกาประกอบพิธีฮัจญ์แล้วสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับสถานะของตน ก็ถือว่า เขาเป็นคนมีความสามารถ(มุสตะฏีอย์) ซึ่งจำต้องประกอบฮัจญะตุลอิสลาม และถือว่าเป็นการเพียงพอต่อการทำฮัจญ์วาญิบ ,และหากไม่ครบเงื่อนไขดังกล่าว และด้วยความเป็นไปได้ของฮัจญ์ ก็ถือว่าสำหรับเขายังไม่มีความสามารถอีกเช่นกัน และถือว่ามีหน้าที่ประกอบพิธีฮัจญ์มุสตะฮับเท่านั้น และหากหลังจากนั้น มีความสามารถขึ้นมา(อิสติฏออัต) จำต้องปฏิบัติฮัจญ์ที่เป็นวาญิบ และฮุกุมของรูฮานีย์(นักการศาสนาผู้นำกองคาราวาน)ก็มีเหมือนเช่นนี้ แต่ทว่า หากหลังจากกลับจากเมืองมักกะห์แล้ว ตนเองยังจำเป็นและต้องการในเงินเดือนของสถาบันศาสนาอีก ก็ยังถือว่าไม่มีความสามารถ(มุสตะฏียอ์)
๕๙ – แพทย์ พยาบาลหรือบุคคลที่อยู่ในหน้าที่ ได้มาถึงยังมิกอต และในสถานที่มิกอต มีเงื่อนไขครบถ้วนตามความสามารถ ถือว่าเป็นวาญิบต้องประกอบพิธีฮัจญะตุลอิสลาม แม้นว่าในช่วงเวลานั้น จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอยู่ก็ตามที.
๒๐ – สามารถย้อนดูแหล่งอ้างอิงในประเด็นมัสอาละห์ที่ ๔๐
๒๑ – บุคคลที่มีค่าครองชีพและสถานะความเป็นอยู่ ที่เหนือความจำเป็น เช่น บ้านพักอาศัย เครื่องใช้ภายในบ้าน ยานพาหนะ และสื่อในการทำงาน หากสามารถขายสิ่งของเหล่านี้ได้ และใช้จ่ายเพื่อซื้อสิ่งที่จำเป็นในการการดำเนินชีวิต และส่วนที่เหลือนำมาใช้ในการประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้มิได้เป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนในหนี้สินแต่อย่างใด และจำนวนที่เหลือใช้ก็มีจำนวนเท่ากับค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์หรือว่าสามารถเพิ่มให้มีความสมบูรณ์ขึ้น ก็จำต้องปฏิบัติในสิ่งนี้ และถือได้ว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถ.
๒๒ - สามารถย้อนกลับดูที่เชิงอรรถของมัสอาละห์ที่ ๔๐
๒๓ - กรณีที่บ้านของตนเองนั้นเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของค่าครองชีพที่จำเป็น หรือการครอบครองสิ่งนั้น มีความเหมาะสมกับหลักอุรฟ์ (ตามหลักการเชื่อถือของประชาชน) ด้วยการได้มาซึ่งเงินจากส่วนของที่ดินนั้น มิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้มีความสามารถแต่ประการใด แม้นว่า เงินดังกล่าวจะสามารถใช้จ่ายในการประกอบพิธีฮัจญ์และเพิ่มเติมให้มีความสามารถก็ตามที.
๒๔ – บุคคลที่มีหน้าที่ต้องประกอบพิธีฮัจญ์ และหากด้วยวัยแก่ชรา หรือเจ็บไข้ได้ป่วยอันไม่สามารถที่จะไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้ อีกทั้งตัวของเขายังมีความยากลำบากและเดือดร้อน และไม่มีความหวังว่าจะสามารถกลับคืนสู่สภาพปรกติได้ (หายจากการป่วยไข้ และมีพละกำลังความสามารถพอ)เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ โดยปราศจากความเดือดร้อนและความยากลำบาก(แม้นว่าในปีถัดไป) เป็นวาญิบที่จะต้องหาคนทำแทน แต่สำหรับบุคคลที่ยังไม่วาญิบในการประกอบพิธีฮัจญ์ ถือว่าไม่วาญิบที่ต้องหาคนทำแทน.
๒๕ - หากการไปประกอบพิธีฮัจญ์ในปีถัดไป มีเงื่อนไขว่าต้องลงทะเบียนรายชื่อพร้อมกับจ่ายค่ามัดจำส่วนหนึ่งภายในปีนั้น ตามหลักอิห์ติยาฏวาญิบ วาญิบต้องปฏิบัติและกระทำในสิ่งดังกล่าว.
๒๖ – บุคคลที่ไม่มีความสามารถด้านการเงิน ซึ่งรับจ้างในการทำแทนจากผู้อื่น แล้วหลังจากทำสัญญาข้อตกลงแล้ว ซึ่งปราศจากเงินทองที่ได้มาจากค่าจ้างดังกล่าว กลายเป็นคนที่ มีความสามารถขึ้นมา ในปีนั้นก็จำต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์สำหรับตนเอง และหากสัญญาข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับต้องทำในปีนั้น สัญญาว่าจ้างต้องอันเป็นโมฆะ และนอกเหนือจากรูปลักษณะดังกล่าวแล้ว จำต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์อิสติญารีย์ (รับจ้างทำฮัจญ์)ในปีถัดไป.
๒๗ – สามารถย้อนดูในเชิงอรรถของมัซอาละห์ที่ ๕๕
๒๘ - สามารถย้อนดูในเชิงอรรถของมัซอะละห์ที่ ๔๐
๒๙ – ด้วยกับเงื่อนไขที่ว่า การประกอบพิธีฮัจญ์ที่รับจ้างทำแทนนั้น มิได้เป็นการรบกวนและส่งผลต่อการรับใช้และทำหน้าที่ในสิ่งที่ได้ว่าจ้าง.
-